ฉวยช่องทบทวนแนวทางปฏิรูปการศึกษาให้ไปถึงฝั่งฝัน
การดำเนินการปฏิรูปการศึกษานับว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนในสังคม และดูเหมือนว่ารัฐบาลพยายามให้ความสำคัญ แต่ผลที่ปรากฏกลับไม่เป็นไปตามที่ฝัน ไม่ว่าจะเป็นสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนของเด็กไทยที่ต่ำลง ความเหลื่อมล้ำระหว่างการศึกษาในเมืองกับชนบท รวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและหัวขบวนของการศึกษาไทยอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งมีส่วนทำให้การดำเนินนโยบายไม่ต่อเนื่อง
ดังนั้นในเดือนสิงหาคมในปีนี้ ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญในวงการการศึกษาอย่างน้อย 2 เหตุการณ์ กล่าวคือ ครบรอบ 6 ปีของการปฏิรูปการศึกษา และการได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่นั้น หากรัฐบาลจะถือโอกาสนี้กลับมาทบทวนแนวทางการดำเนินการในบางด้าน เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาสามารถก้าวไปถึงฝั่งได้อย่างรวดเร็วน่าจะเป็นโอกาสที่ดี โดยมีแนวทางที่สำคัญดังนี้
ทบทวนการอุดหนุนการศึกษา โดยหันมายึดหลักความเป็นธรรม โดยอุดหนุนผู้เรียนที่มีฐานะยากจนมากกว่า และให้ผู้เรียนที่มีฐานะมีส่วนร่วมจ่ายค่าเล่าเรียนมากขึ้น แม้ว่าการเข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึงจะเป็นสิ่งรัฐบาลยังควรยึดไว้ แต่ความเป็นจริงคือ ผู้เรียนแต่ละคนมีความสามารถในการจ่ายไม่เท่ากัน เช่น คนยากจน คนด้อยโอกาส คนอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจะมีต้นทุนในการเข้าถึงการศึกษาสูงกว่าการจัดการศึกษาโดยทั่วไป เพราะต้องคำนึงถึงความขาดแคลน และการช่วยเหลืออย่างครบวงจร ดังนั้นการอุดหนุนผู้เรียนที่มีความสามารถในการจ่ายมากให้ได้รับเท่ากับผู้เรียนที่ขาดแคลนนั้น จึงเป็นการอุดหนุนแบบไม่สมจริง และจะส่งผลเป็นความไม่มีประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณของรัฐ
ทบทวนประสิทธิภาพการบริหารแทนการมุ่งปรับโครงสร้าง โดยพิจารณาให้ผลตอบแทนตามคุณภาพของงานและปริมาณงานอย่างเหมาะสม คล้ายกับการประเมินในบริษัทเอกชนทั่วไป โดยให้การประเมินประสิทธิภาพการทำงานเป็นไปตามเกณฑ์การประเมินผลที่มีความเที่ยงตรงตามหลักวิชาการและเป็นธรรม เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษามีแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพการทำงาน โดยไม่ยึดติดกับระบบราชการแบบเดิมทีไม่ได้ผูกโยงผลงานกับผลตอบแทนเข้าด้วยกัน ทำให้แม้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือแม้แต่ตัวผู้บริหาร ก็ยังไม่เห็นการขับเคลื่อนมากเท่าที่ควร
ทบทวนการให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา แม้ว่าทิศทางการปฏิรูปการศึกษาได้เปิดโอกาสให้ภาคีต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมจัดการศึกษา แต่ยังพบว่าผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมนั้นยังขาดความรับผิดชอบต่อการจัดการศึกษา เช่น คณะกรรมการสถานศึกษาที่คัดจากคนภายนอกมิได้เข้าร่วมประชุมหรือมีส่วนรับผิดชอบต่อการจัดการศึกษาอย่างเต็มที่ ทำให้แม้จะเกิดการเข้าร่วมของภาคีต่าง ๆ แต่ยังไม่มีการร่วมแรงในการพัฒนาคุณภาพการศึกษามากเท่าที่ควร ดังนั้นจึงควรกำหนดผู้รับผิดชอบและระบบตรวจสอบการมีส่วนร่วมจัดการศึกษาที่ชัดเจน ในรูปของคณะกรรมการตรวจสอบการจัดการศึกษาร่วม เพื่อการตรวจสอบและแก้ไขความผิดพลาดหรือพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของภาคีต่าง ๆ ได้ตรงจุด ซึ่งจะช่วยให้ในระบบการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องเกิดสำนึกของความรับผิดชอบ
ดังนั้นการจะไปถึงเป้าหมายการปฏิรูปการศึกษาที่สมบูรณ์นั้น ควรหันกลับมาทบทวนเป็นระยะ ๆ ในจุดที่ควรจะปรับปรุงแก้ไขภายใต้กระบวนการปฏิรูปการศึกษาที่ยังไม่สิ้นสุด และจะพบว่ากำลังเข้าใกล้คำตอบที่คาดหวังมากขึ้นอย่างแน่นอน