พัฒนาสำนึกทางการเมืองให้เด็ก-เยาวชนไทยเป็นระบบ
วิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองและทางความคิดในตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน นอกจากจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมของไทยแล้ว เป็นที่น่าตกใจว่ายังได้ส่งผลกระทบลุกลามไปถึงกลุ่มเด็กและเยาวชนไทยด้วย ซึ่งจากผลการสำรวจความคิดเห็นของเด็กและเยาวชนไทย อายุระหว่าง 15-25 ปี ในเขตกรุงเทพฯ ของศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เรื่อง ?มองการเมืองไทยผ่านสายตาเยาวชน? เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2553 พบว่า เยาวชนไทยให้ความสนใจต่อเหตุการณ์ทางการเมืองค่อนข้างน้อยถึงไม่สนใจเลยถึงร้อยละ 62.1แม้ว่าในที่นี้ส่วนใหญ่จะยังเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคนในสังคมก็ตาม ขณะที่มีเด็กและเยาวชนไทยถึงร้อยละ 90.6 ระบุว่าในอนาคตไม่อยากเป็นนักการเมือง เนื่องด้วยนักการเมืองมีชื่อเสียงไม่ดี ไม่โปร่งใส ไม่ปลอดภัย และต้องรับผิดชอบคนหมู่มาก สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ หากไม่ได้รับการแก้ไขคาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเมืองไทยในอนาคต
ผมเห็นถึงความจำเป็นว่า ระบบการศึกษาไทยจะต้องเข้ามามีส่วนรับผิดชอบกับปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้อย่างจริงจัง มิเฉพาะเพียงการจัดหลักสูตรเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่ต้องตั้งเป้าหมายของการจัดการศึกษาโดยรวมของประเทศ ให้เป็น ?การศึกษาเพื่อพัฒนาการเป็นพลเมืองที่ดี? (Civic Education) เพื่อปลูกฝังความเป็น ?พลเมืองที่ดี? ให้เด็กและเยาวชนไทย โดยการให้ความรู้ ความเข้าใจ อันเป็นการหว่านเมล็ดพันธ์ทางความคิดที่ถูกต้องในประเด็นเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีความเข้าใจเกี่ยวกับระบอบการเมืองและอำนาจหน้าที่ของตนภายใต้ระบอบการเมืองในรูปแบบประชาธิปไตย เพราะหากเด็กและเยาวชน มีความเข้าใจ จะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการเป็นพลเมืองที่ดีของชาติในอนาคต
ประเทศไทยต้องมีเป้าหมายการพัฒนาไปสู่การทำให้ประชาชนหรือคนในประเทศทุกกลุ่มคน มีสำนึกทางการเมืองสูง เริ่มตั้งแต่กลุ่มเด็กและเยาวชน เนื่องด้วยกลุ่มคนดังกล่าวนี้ จะต้องไปเป็นผู้ที่มีบทบาทในการกำหนดอนาคตทิศทางการเมืองของประเทศต่อไป การศึกษาจึงควรทำหน้าที่เป็นกลไกลหลักสำคัญในการพัฒนาความคิด ความเข้าใจ และสำนึกทางการเมืองให้กับคนกลุ่มนี้อย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง จริงจัง ซึ่งจะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการตอบสนองของประชาชนทุกกลุ่มในสังคม