ผู้ประกอบการควรทำอย่างไร ในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง
วิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ที่กำลังลุกลามไปทั่วโลกขณะนี้ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในสหรัฐและยุโรบเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอย และเศรษฐกิจเอเชียชะลอตัวลง
วิกฤตการณ์เศรษฐกิจดังกล่าว ประกอบกับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง สร้างความกังวลต่อผู้ประกอบการในประเทศไทยว่า
สถิติในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาได้ยืนยันถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการขยายตัวของการส่งออกของไทยและอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะปี พ.ศ.2544 ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวเพียงร้อยละ 0.76 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2543 ส่งผลทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยติดลบถึงร้อยละ 10.12 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ดังนั้นหากเศรษฐกิจสหรัฐฯในปี พ.ศ.2552 มีแนวโน้มขยายตัวติดลบ จึงเป็นไปได้ว่า การส่งออกของไทยจะชะลอตัวอย่างรุนแรง และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด การส่งออกของไทยอาจหดตัวลง
สัญญาณการชะลอตัวของการส่งออกของไทยปรากฏขึ้น โดยอัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกเดือนสิงหาคมและกันยายนปี 2551 ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน โดยเป็นการลดลงในเชิงปริมาณมากกว่าลดลงด้านราคา และคำสั่งซื้อของภาคอุตสาหกรรมเริ่มลดลงจากเดิม ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก เฟอร์นิเจอร์ ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์
เช่นเดียวกับการค้าภายในประเทศที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัว ทำให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุนและทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นจนไม่กล้าใช้จ่าย การส่งออกและการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวจะทำให้รายได้ของภาคการผลิตและธุรกิจท่องเที่ยวชะลอตัวลง ส่งผลทำให้ธุรกิจหลายแห่งต้องปิดกิจการหรือปลดแรงงานออกจำนวนมาก ความต้องการสินค้าและบริการภายในประเทศจึงชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังมีความเสี่ยงขาดสภาพคล่อง เพราะสถาบันการเงินเริ่มมีสภาพคล่องตึงตัว และระมัดระวังในการปล่อยกู้มากขึ้น ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจข้ามชาติหันมาระดมทุนในประเทศมากขึ้น ทำให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหาแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้น
ในภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองเช่นนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจจำเป็นต้องให้ความระมัดระวังในการบริหารต้นทุนและรายได้มากขึ้น โดยพยายามลดต้นทุนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ให้มากที่สุด โดยเฉพาะต้นทุนการเก็บสต็อกวัตถุดิบและสินค้า รวมทั้งเน้นการส่งออกไปยังตลาดที่ยังพอมีกำลังซื้อ เช่น จีน ตะวันออกกลาง เป็นต้น ตลอดจนส่งเสริมการขายในตลาดภายในประเทศที่ยังคงมีอัตราการขยายตัวมากกว่าสหรัฐฯและยุโรป