CL ยา: ประสิทธิภาพ VS ความชอบธรรม



* ที่มาของภาพ -http://www.soxfirst.com/50226711/drug.jpg
เป็นเรื่องธรรมดาที่การบริหารนโยบายสาธารณะ ซึ่งมีเป้าหมายหลายประการ อาจขัดแย้งกันเอง ในประเด็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาก็เช่นกัน
ในบทความนี้ผมจะวิเคราะห์ถึงประเด็นที่รัฐบาลไทยประกาศใช้มาตรการบังคับใช้ ldquo;สิทธิเหนือสิทธิบัตรrdquo; (Compulsory Licensing ndash; CL) ในยาบางชนิด ซึ่งแม้ประเด็นนี้จะส่งผลกระทบต่อด้านอื่น ๆ ของประเทศด้วย แต่เพื่อความกระชับของบทความ ผมจึงขอละไว้ที่จะไม่กล่าวถึงประเด็นเหล่านี้
การคิดค้นยาตัวใหม่ ๆ ผู้คิดค้นจำเป็นต้องทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเพื่อการวิจัยและพัฒนา ตัวยาที่เป็นผลสำเร็จของการวิจัยจึงถือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ลงทุน ตามความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (TRIPs) ซึ่งประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) ต้องปฏิบัติตาม
อย่างไรก็ตาม ความตกลง TRIPs ได้เปิดช่องให้ประเทศสมาชิกสามารถประกาศใช้ CL ได้ หากเป็นไปเพื่อสาธารณประโยชน์เนื่องใน ldquo;เหตุฉุกเฉินแห่งชาติหรือในสถานการณ์เร่งด่วนอย่างยิ่งยวดrdquo;
ประเทศที่ประกาศใช้ CL เหนือตัวยาชนิดใด จะสามารถใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยาชนิดนั้นซึ่งถือครองโดยบริษัทที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรได้ โดยสามารถผลิตตัวยาชนิดนั้นในประเทศได้และขายในราคาเท่าทุน รวมถึงการนำเข้าตัวยานั้นจากประเทศที่ได้ประกาศ CL เหนือยาชนิดนั้นเช่นกัน ซึ่งในกรณีของไทยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเข้ายาต้านไวรัสเอดส์และมะเร็งจากประเทศอินเดีย โดยตามความตกลง TRIPs ประเทศที่ผลิตหรือส่งออกยานั้นจะต้องจ่ายค่าชดเชย (compensation) ให้แก่ผู้ทรงสิทธิตามสิทธิบัตรด้วย
ในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ ผลดีของการประกาศใช้ CL คือ ทำให้ไทยมีทางเลือกในการนำเข้ายาเพิ่มขึ้น ไม่ถูกผูกขาดโดยบริษัทยายักษ์ใหญ่ ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากการแข่งขันกันตัดราคายาของบริษัทยาที่ถือสิทธิบัตรโดยบริษัทยาในอินเดียที่ผลิตยาตัวเดียวกัน และทำให้เกิดการกระจายรายได้ระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยา โดยผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทยจะเข้าถึงยาได้ในราคาที่ถูกลงมาก เช่น ยา Kaletra ของบริษัท Abbot จะลดราคาลงจาก 1,700 เหรียญสหรัฐ เหลือเพียง 1,000 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี และรัฐบาลไทยยังมีภาระในการอุดหนุนค่าใช้จ่ายลดลง
อย่างไรก็ตาม การประกาศใช้ CL ทำให้เกิดคำถามด้านความชอบธรรมในเชิงธุรกิจ เพราะการลงทุนทำวิจัยโดยบริษัทยายักษ์ใหญ่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นตัวยาที่เป็นผลจากการวิจัยควรจะเป็นทรัพย์สินของบริษัท และบริษัทควรจะมีสิทธินำยานี้ไปทำกำไรเช่นเดียวกับการทำธุรกิจอื่น ๆ
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญายังมีเหตุผลเพื่อการส่งเสริมให้เกิดการคิดค้นวิจัย เพราะแรงจูงใจในการทำวิจัยคือกำไรที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่ากำไรปกติ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเจ้าของนวัตกรรมมีอำนาจผูกขาดในช่วงเวลาหนึ่ง การกำจัดการผูกขาดของเจ้าของสิทธิบัตรยาจึงอาจทำให้การคิดค้นยาใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ช้าลง
ถึงกระนั้น แม้บริษัทยาสมควรได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนทำวิจัย ผู้ป่วยก็สมควรได้รับความชอบธรรมเช่นกัน เพราะตามปฏิญญาสากลว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชนข้อ 25 ระบุว่า ทุกคนสมควรได้รับการรักษาพยาบาลที่จำเป็น ซึ่งผมเห็นว่ายาต้านไวรัสและมะเร็งเป็นการรักษาพยาบาลที่จำเป็น
แต่รัฐบาลควรทำอย่างไรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจและความยุติธรรมต่อบริษัทยาด้วย
ในด้านความยุติธรรมต่อบริษัทยานั้น ผมเห็นว่าหลักการในความตกลง TRIPs ถูกต้องอยู่แล้ว กล่าวคือ การให้ประเทศที่ประกาศใช้ CL ต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่เจ้าของสิทธิบัตร
ปัญหาก็คือ เงินชดเชยควรมีมูลค่าเท่าไรจึงจะถือว่ายุติธรรมต่อบริษัทยา เพราะในทางปฏิบัติ ประเทศที่ประกาศใช้ CL จ่ายเงินชดเชยจำนวนน้อยมาก เช่นประเทศไทยจ่ายค่าชดเชยให้เพียงร้อยละ 0.5 ของมูลค่ายาที่นำเข้าเท่านั้น
ในความเห็นของผม เงินชดเชยควรมีมูลค่าใกล้เคียงกับต้นทุนค่าเสียโอกาสของบริษัทยาในการทำวิจัย ได้แก่ต้นทุนในการทำวิจัยยาชนิดนั้น รวมกับผลตอบแทนที่ควรได้รับหากนำเงินไปลงทุนประเภทอื่น โดยอาจใช้ดัชนีบางตัวกำหนดอัตราผลตอบแทน เช่น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นต้น
หากมองในแง่ความยั่งยืน นโยบายสนับสนุนการวิจัยเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากประเทศไทยมีเทคโนโลยีการผลิตยาได้เอง บริษัทยาต่างชาติจะลดราคาลงมา โดยที่ไม่จำเป็นต้องประกาศใช้ CL
และหากรัฐมีการสนับสนุนให้มีผู้ประกอบการเพื่อสังคม (Social entrepreneur) เกิดขึ้นมาก ๆ อาจทำให้เกิดผู้ผลิตยาที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของสังคมมากกว่าการพยายามทำกำไรสูงสุด เพราะที่ผ่านมา แรงจูงใจของการทำวิจัยคือกำไรสูงสุด ผู้ลงทุนในการวิจัยส่วนใหญ่จึงเป็นธุรกิจที่แสวงหากำไร
ในขณะที่ผู้ประกอบการเพื่อสังคม คือ คนที่เห็นปัญหาความเดือดร้อนในสังคมและมีแรงจูงใจในการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยมีลักษณะเป็นผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ กล่าวคือไม่หยุดที่จะมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในดำเนินงาน มีความสามารถในการระดมทรัพยากร และฉลาดในการดำเนินกลยุทธ์ ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาด้วยการทำสังคมสงเคราะห์ แต่ใช้วิธีการในเชิงธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
ดังตัวอย่างของวิกตอเรีย เฮล (Victoria Hale) ซึ่งก่อตั้งองค์กร OneWorld Health โดยเห็นปัญหาว่าบริษัทยาจะคิดค้นแต่ยาที่รักษา ldquo;โรคคนรวยrdquo; ซึ่งมักเกิดในประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยความสามารถในการวิจัยยาและคิดค้นวิธีการพัฒนายาแบบใหม่ องค์กรของเธอจึงมุ่งเน้นที่จะพัฒนายารักษา ldquo;โรคคนจนrdquo; และสามารถลดต้นทุนการผลิตยาจนคนยากจนซื้อหาได้ ซึ่งทำให้องค์กรมีรายได้สำหรับดำเนินการต่อไปได้ด้วย
เราลองคิดดูว่า หากเกิดผู้ประกอบการเพื่อสังคมมาก ๆ การประกาศใช้ CL ยาคงไม่จำเป็นอีกต่อไป เนื่องจากราคายาจะถูกลงจนทุกคนสามารถหาซื้อได้ โดยรัฐบาลไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงแต่อย่างใด
โดยสรุป ผมเห็นด้วยกับการประกาศใช้ CL ยาของรัฐบาลไทย โดยมีการเจรจากับเจ้าของสิทธิบัตรยาเพื่อชดเชยอย่างเหมาะสม แต่รัฐบาลควรพิจารณาทางเลือกอื่นเพื่อความยั่งยืนด้วย เช่น การสนับสนุนการวิจัยยาที่มีผู้ป่วยในประเทศจำนวนมาก และการสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการเพื่อสังคม เป็นต้น

* นำมาจากหนังสือพิมพ์โพสตทูเดย์ ฉบับวันพฤหัสบดีที่3 เมษายน 2551
admin
เผยแพร่: 
0
เมื่อ: 
2008-04-03