ข้อเสนอแนะการฟื้นฟูเศรษฐกิจชายแดน
แหล่งที่มาของภาพ : http://www.thesundayindian.com/userfiles/Indian-Economy%281%29.jpg
กรุงเทพธุรกิจ
คอลัมน์ : ดร.แดน มองต่างแดน
ภายหลังจากการเข้าควบคุมอำนาจโดยคณะรักษาความสงบสุขแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น คสช. ได้เสนอโรดแมพ (Roadmap)อันมีวัตถุประสงค์เพื่อนำประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างสงบสุขผ่าน 3 ขั้นตอนที่สำคัญอันได้แก่ การปรองดอง การปฏิรูป และการเลือกตั้งตามลำดับ
ภายหลังจากการแถลงการณ์โรดแมพ คสช. ได้ประกาศนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจเร่งด่วน 4 ประการสำคัญ ได้แก่ ประการแรก โครงการประกันภัยข้าวนาปีสำหรับปีการผลิต 2557 ประการที่สอง โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ประการที่สาม มาตรการการช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและย่อม และประการที่สี่ โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจชายแดน
ทั้งสี่นโยบายดังกล่าวล้วนมีความน่าสนใจสำหรับการศึกษาวิเคราะห์ทั้งในแง่ของความสำคัญและประสิทธิผลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ สำหรับบทความชิ้นนี้ ผมให้ความสนใจนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจชายแดน โดยจะทำการวิเคราะห์ในแง่ของความจำเป็นและความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผมเคยเสนอแนวคิดการส่งเสริมการย้ายฐานการลงทุนไปยังบริเวณชายแดน หลังจากที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ดำเนินนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ (บทความเรื่อง ?ข้อเสนอนโยบายอุตสาหกรรมและแรงงาน ภายหลังการปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาท?) โดยแนวคิดนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาการขาดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น และปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
ผมมองว่าการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนเป็นนโยบายที่จำเป็นสำหรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมไทยมีแนวโน้มสูญเสียความได้เปรียบด้านค่าจ้างแรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ดี การลักลอบเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีอัตราค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าไทยทำให้การปรับโครงสร้างการผลิตล่าช้า เพราะทำให้ไม่เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมือ ผู้ประกอบการจึงไม่มีแรงกดดันให้ต้องปรับโครงสร้างการผลิตไปสู่กระบวนการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต สร้างนวัตกรรม หรือพัฒนาฝีมือแรงงาน
การส่งเสริมการย้ายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นไปยังบริเวณชายแดนจะช่วยแก้ปัญหาการลักลอบเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ปัญหาการค้ามนุษย์ และปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการเข้ามาของแรงงานต่างด้าว อาทิ ปัญหาด้านสาธารณสุขและโรคระบาดข้ามพรมแดน ปัญหาคนต่างด้าวเข้ามาแย่งใช้บริการสาธารณะ ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาความแออัดของเขตเมือง เป็นต้น
การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปลายปี พ.ศ. 2558 จะส่งผลทำให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะทำให้ความต้องการแรงงานในประเทศเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น และทำให้เกิดการไหลกลับของแรงงานต่างด้าว ซึ่งจะส่งผลทำให้ประเทศไทยจะมีแนวโน้มขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมือมากขึ้น ดังนั้นการย้ายฐานการผลิตไปยังบริเวณชายแดนหรือย้ายออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านจึงเป็นแนวทางที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมที่ต้องการใช้แรงงานต่างด้าวยังสามารถอยู่รอดได้
การส่งเสริมเศรษฐกิจชายแดนมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้าภายในภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ เนื่องจากตั้งอยู่ศูนย์กลางของภูมิภาคและมีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศเป็นระยะทางยาว โดยมีช่องทางการค้าตามแนวชายแดนมากกว่า 89 จุด การพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนจะทำให้เกิดความเชื่อมโยงเศรษฐกิจภายในภูมิภาค ประเทศไทยมีโอกาสจะกลายเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการผลิตภายในภูมิภาค (regional production network) โดยการพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เช่น อุตสาหกรรมการแปรรูปสินค้าเกษตร โดยการนำเข้าวัตถุดิบราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการค้าชายแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ (มาเลเซีย กัมพูชา ลาว และ เมียนมาร์) ในปี พ.ศ. 2556 ระบุว่า การค้าชายแดนมีมูลค่ารวมสูงถึง 9.2 แสนล้านบาท โดยการค้ากับประเทศมาเลเซียมีมูลค่าสูงที่สุดถึง 5 แสนล้านบาท รองลงมาคือเมียนมาร์ที่มีมูลค่าการค้า 1.96 แสนล้านบาท ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าการค้าชายแดนกับทั้ง 4 ประเทศจะสูงถึง 1 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2559
เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อาเซียนจะรวมตัวเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว เนื่องจากการขจัดภาษีนำเข้าระหว่างกัน การอำนวยความสะดวกทางการค้า ลดขั้นตอนพิธีการศุลกากร การเคลื่อนย้ายสินค้า เงินทุน และแรงงานที่มีทักษะมีความเป็นไปแบบเป็นอิสระมากขึ้น จะส่งผลทำให้การค้าและการลงทุนบริเวณชายแดนมีความคึกคักมากยิ่งขึ้น ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวตามแนวชายแดนจะเติบโตมากยิ่งขึ้น เหตุเพราะการเดินทางเข้าออกระหว่างประเทศอาเซียนเป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้น
ไทยยังมีโอกาสเป็นศูนย์กลางธุรกิจด้านโลจิสติกส์ทางบกของภูมิภาค เนื่องจากอาเซียนได้จัดทำแผนแม่บทการเชื่อมโยงอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity) โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นถนน ทางรถไฟ พลังงาน และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งจะทำให้การเดินทางและการขนส่งระหว่างประเทศมีความสะดวกและมีต้นทุนต่ำลง และทำให้เกิดการกระจายความเจริญไปยังชนบทมากขึ้น และสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจชายแดนมากขึ้น
ดังนั้น การที่ สคช. เลือกดำเนินนโยบายเรื่องนี้จึงมีความเหมาะสมในแง่ความจำเป็นและความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ รวมทั้งยังสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคในอนาคต นโยบายนี้จึงเป็นเสมือนนโยบายที่ทำให้คนไทยได้ปรับเปลี่ยน และเตรียมตัวก่อนเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ดี การพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่ผ่านมามีการส่งเสริมการลงทุนในบริเวณชายแดนในระดับหนึ่ง เช่น การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมสิ่งทอบริเวณชายแดนแม่สอด เป็นต้น แต่โรงงานอุตสาหกรรมที่ย้ายฐานการผลิตไปยังชายแดนยังมีจำกัด ซึ่งอาจเนื่องมาจากมาตรการสนับสนุนยังไม่จูงใจมากพอ และต้นทุนการดำเนินธุรกิจในบริเวณชายแดนยังสูง โดยเฉพาะต้นทุนการขนส่ง
แนวทางสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจชายแดน คือ รัฐบาลต้องมีความมุ่งมั่นและมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการปรับโครงสร้างและยกระดับการผลิตของทั้งประเทศให้มุ่งไปสู่ภาคเศรษฐกิจที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ใช้เทคโนโลยีในระดับสูงขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีนวัตกรรมมากขึ้น โดยการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมหรือกิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เช่น การผลิตที่ใช้ความรู้และเทคโนโลยีชั้นสูง การออกแบบ การวิจัยและพัฒนา เป็นต้น ในขณะเดียวกันต้องมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะการส่งเสริมการย้ายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น
อีกมาตรการหนึ่งในการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ชายแดน คือ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ชายแดน โดยให้สิทธิพิเศษต่างๆ แก่ผู้ประกอบการที่ย้ายฐานการผลิตไปยังเขตเศรษฐกิจดังกล่าว เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับการย้ายฐานการผลิต มาตรการลดหย่อนภาษี หรือแม้แต่การผ่อนปรนการบังคับใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท เป็นต้น
การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจระดับประเทศให้เข้ากับเศรษฐกิจระดับชายแดนเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่มีความจำเป็นในการส่งเสริมเศรษฐกิจชายแดน เพื่อทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชายแดนและเศรษฐกิจระดับประเทศมีความเชื่อมโยงและพึ่งพากันและกันมากขึ้น มาตรการที่มีความสำคัญและเร่งด่วน คือ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภายในประเทศเพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ชายแ