ขอเสนออย่างสร้างสรรค์

หลังจากสภาปัญญาสมาพันธ์ที่ผมเป็นประธาน ได้ริเริ่มจัดทำดัชนีประสิทธิผลประเทศไทย (Thailand Effectiveness Index) ตลอดช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา ดัชนีดังกล่าวได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้โครงสร้างดัชนีฯ สะท้อนถึงภาพรวมของสถานการณ์การพัฒนาและความสำคัญขององค์ประกอบต่างๆ ที่มีต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งยังได้ทดลองนำดัชนีที่พัฒนามาประเมินประสิทธิผลในการพัฒนาประเทศไทย

บทความที่ผ่านมา ผมได้นำเสนอคะแนนประสิทธิผลระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน 3 ด้านแรกไปแล้ว ได้แก่ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการศึกษา โดยด้านการศึกษาของไทยน่าเป็นห่วงมากที่สุด เพราะได้คะแนนในลำดับที่ 9 มาตรฐานการศึกษาของประเทศอยู่ในเกณฑ์ไม่ดี ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ทุกภาคส่วนควรเร่งรัดแก้ปัญหาด้านการศึกษา ตามข้อเสนอต่างๆ ที่ผมเคยเสนอไว้แล้ว
จำนวนผู้ประกอบการทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก 400 ล้านคน (1 คนต่อประชากรโลก 19 คน) ในปี 2012 เป็น 1 พันล้านคน (2.3 คนต่อประชากรโลก 19 คน) ในปี 2020 เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ส่งผลให้ต้นทุนในการทำธุรกิจและต้นทุนในการผลิตสินค้าต้นแบบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงไม่เป็นการยากที่จะเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการในปัจจุบัน ปัจจุบัน คนหนุ่มสาว โดยเฉพาะ Gen Y มีความต้องการเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น เพราะต้องการทำงานที่เป็นอิสระตามความคิดของตัวเอง เป็นนายของตัวเอง หรือต้องการร่ำรวยอย่างรวดเร็ว และเกษียณอายุก่อนกำหนด แล้วใช้ชีวิตที่เหลือพักผ่อนและท่องเที่ยว
ความเข้มแข็งของภาคบริการจะช่วยสร้างโอกาสมากขึ้น สร้างงานเพิ่มขึ้น และยกระดับรายได้คนไทยให้สูงขึ้น ผมได้ศึกษาประวัติศาสตร์และแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด ของประเทศรายได้สูงเกิดใหม่ พบว่า หนึ่งในบทเรียนจากต่างประเทศในการก้าวข้ามผ่านกับดักรายได้ปานกลาง คือ การผลักดันให้ภาคบริการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ปัจจุบันสัดส่วนกำลังแรงงานภาคบริการในประเทศต่างๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แรงงานในภาคเกษตรของประเทศรายได้สูงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยภาคบริการเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเป็นประเทศเศรษฐกิจรายได้สูง

การขาด “ธรรมาภิบาล” เป็นปัญหาสำคัญที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “ตลาดทุน” ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และยังเป็นแหล่งระดมทุนให้ภาครัฐและเอกชน ที่ช่วยสร้างสมดุลให้ระบบการเงิน ก่อให้เกิดการจ้างงาน การกระจายรายได้ และเป็นช่องทางการออมและการลงทุนสำหรับประชาชน

ปีนี้เป็นปีที่หลายธุรกิจเริ่มเห็นสัญญาณบวกของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทั้งภาวะเงินเฟ้อและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ยังคงเป็นปัจจัยท้าทายที่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ต้องเผชิญ โดยเฉพาะการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ที่ผ่านมา SMEs มีบทบาทสำคัญในหลายมิติ ทั้งการสร้างงาน การกระจายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมการแข่งขัน และการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทาน SMEs จึงเปรียบเสมือนเส้นเลือดฝอยที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยในปี 2566 SMEs มีส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สูงถึง 6,317,181 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 35.2 ของ GDP รวมทั้งประเทศ

ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศต่างๆ ในโลก รวมทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะยาบ้าที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ยาบ้าก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างมาก ทำลายสุขภาพของผู้เสพ เชื่อมโยงไปสู่ปัญหาอาชญากรรม ความรุนแรง การแตกแยกของครอบครัว การกระทำที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และการลดทอนศักยภาพในการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน

การกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาการแพร่ระบาดของยาบ้าจึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นประเด็นสำคัญของรัฐบาลปัจจุบัน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน โดยพรรคเพื่อไทยเคยประกาศในช่วงหาเสียงว่าจะขึ้นค่าแรงเป็น 600 บาทภายในปี 2570 เมื่อต้นปี 2567 รัฐบาลได้กำหนดค่าแรงขั้นต่ำใหม่อยู่ระหว่าง 330 ถึง 370 บาท และในเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีการพิจารณาปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทสำหรับธุรกิจโรงแรมใน 10 จังหวัด นอกจากนี้ รัฐบาลได้ตั้งเป้าขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาททั่วประเทศภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การขึ้นค่าแรงย่อมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในอนาคต

 

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านสื่อสังคมออนไลน์ การหมิ่นประมาทกลายเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในสังคมไทย แต่น่าเสียดายที่สังคมส่วนใหญ่ยังคงมองข้ามความร้ายแรงของปัญหานี้

ซึ่งผมมองว่า การหมิ่นประมาท เปรียบเสมือน “ฆาตกรรมชื่อเสียง” ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำตลอดชีวิต ต่างจากการฆาตกรรมทางกายที่จบลงในคราวเดียว แต่การหมิ่นประมาททำให้ผู้ถูกกระทำต้องเหมือน “ตายทั้งเป็น” ทนทุกข์ทรมานกับการสูญเสียชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือไปตลอดชีวิต

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สังคมไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างประชากร คือการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของ คนโสด ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก