ภาพรวมประสิทธิผลประเทศสมาชิกอาเซียน : ด้านสุขภาพ ความปลอดภัย ความมั่นคง และการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ

บทความที่ผ่านมา ผมได้นำเสนอคะแนนประสิทธิผลระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน 3 ด้านแรกไปแล้ว ได้แก่ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการศึกษา โดยด้านการศึกษาของไทยน่าเป็นห่วงมากที่สุด เพราะได้คะแนนในลำดับที่ 9 มาตรฐานการศึกษาของประเทศอยู่ในเกณฑ์ไม่ดี ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ทุกภาคส่วนควรเร่งรัดแก้ปัญหาด้านการศึกษา ตามข้อเสนอต่างๆ ที่ผมเคยเสนอไว้แล้ว

ในบทความนี้ ผมจะนำเสนอคะแนนประสิทธิผลภาพรวมของประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 4 ด้านที่เหลือ ดังต่อไปนี้

 

4. ด้านสุขภาพ (Health) แบ่งออกเป็น 2 หมวด ได้แก่

สุขภาพกาย และสุขภาพจิต ผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยมีคะแนนประสิทธิผลสูงสุด คือ ร้อยละ 62.2 รองลงมาเป็นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ด้วยคะแนนร้อยละ 51.7 และ 41.7 ตามลำดับ

ประเทศไทยได้คะแนนประสิทธิผลด้านสุขภาพจิตหรือระดับความสุขสูงสุดในอาเซียน ช่วงปี 2551 - 2559 ไทยมีระดับความสุขเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กัมพูชาและเมียนมาร์มีระดับความสุขเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด

ทว่าหมวดสุขภาพกายของไทยกลับมีคะแนนประสิทธิผลไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ เพราะได้คะแนนเพียงร้อยละ 25.3 ส่วนประเทศลาวได้คะแนนสูงสุดที่ร้อยละ 51.7 และกัมพูชาได้คะแนนเป็นลำดับรองลงมาที่ร้อยละ 50 เนื่องจาก ในช่วงปี 2553 ? 2555 อัตราการเสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อของกัมพูชาและลาวลดลงมากที่สุด แต่ประเทศไทยกลับมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว

5. ด้านความปลอดภัย (Safety) แบ่งเป็น 2 หมวด ได้แก่

อุบัติเหตุ และอาชญากรรม (ข้อมูลด้านอุบัติเหตุไม่ครบถ้วนทำให้คำนวณค่าดัชนีระดับภูมิภาคไม่ได้) กัมพูชาได้คะแนนภาพรวมด้านความปลอดภัยสูงสุดที่ร้อยละ 100 ประเทศไทยร้อยละ 68.7 สิงคโปร์ร้อยละ 56.6 มาเลเซียร้อยละ 39.4 อินโดนีเซียร้อยละ 37.7 ขณะที่เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ บรูไนได้คะแนนร้อยละ 0 ส่วนลาว มีข้อมูลไม่เพียงพอ  

ส่วนอัตราฆาตกรรมภาพรวมของประเทศอาเซียนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2553 โดยสิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย มีอัตราฆาตกรรมเพิ่มขึ้นต่ำที่สุดตามลำดับ ขณะที่ประเทศไทย เวียดนามและมาเลเซียมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นสูงสุดตามลำดับ อย่างไรก็ดี อัตราการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง

6. ด้านความมั่นคง (Security) แบ่งเป็น 2 หมวด ได้แก่

ความมั่นคงภายใน และความมั่นคงภายนอก คะแนนภาพรวมด้านความมั่นคงสูงสุดอยู่ที่ประเทศเมียนมาร์ ด้วยคะแนนร้อยละ 58.1 ฟิลิปปินส์และลาวมีคะแนนเท่ากันที่ร้อยละ 50 สิงคโปร์ร้อยละ 45.9 ประเทศไทยร้อยละ 34.4 กัมพูชาร้อยละ 33.3 อินโดนีเซียร้อยละ 18.7 เวียดนามร้อยละ 10.6 มาเลเซีย 5.1 ขณะที่บรูไนมีคะแนนร้อยละ 0

สำหรับภาพรวมความมั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ สิงคโปร์และบรูไนมีเสถียรภาพทางการเมืองสูงสุดตามลำดับ ขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองเท่าใดนัก ส่วนประเทศฟิลิปปินส์และลาวมีการพัฒนาเสถียรภาพทางการเมืองได้ตามเป้าหมายที่วางไว้จึงได้คะแนนประสิทธิผลเต็มร้อละ 100

ส่วนคะแนนประสิทธิผลความมั่นคงภายนอกของสิงคโปร์อยู่ในระดับสูง เพราะมีการพัฒนาและความพยายามสร้างความมั่นคงของประเทศจากปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากภัยคุกคามการก่อการร้ายของสิงคโปร์อยู่ในระดับต่ำและมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้สิงคโปร์มีต้นทุนการป้องกันธุรกิจจากการก่อการร้ายค่อนข้างต่ำ

7. ด้านการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ (Process) แบ่งเป็น 3 หมวด ได้แก่

การดำเนินงานของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน แต่เนื่องจากประเทศต่างๆ มีข้อมูลภาคประชาชนไม่เพียงพอสำหรับการวัดประสิทธิผล รวมทั้งยังไม่พบข้อมูลตัวชี้วัดการดำเนินงานของภาคประชาชนที่เหมาะสม จึงทำให้ยังไม่มีการเปรียบเทียบคะแนนประสิทธิผลระหว่างประเทศในหมวดการดำเนินงานของภาคประชาชน

  • คะแนนประสิทธิผลการดำเนินงานของภาครัฐ เมียนมาร์มีคะแนนสูงสุดที่ร้อยละ 80.3 รองลงมาเป็นฟิลิปปินส์ เวียดนามและสิงคโปร์ ด้วยคะแนนร้อยละ 50, 45.3 และ 40.8 ตามลำดับ  

แม้คะแนนประสิทธิผลของสิงคโปร์น้อยกว่าเมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม แต่ไม่ได้หมายความว่าการดำเนินงานของภาครัฐของสิงคโปร์ไม่ดี เพราะความจริงแล้ว สิงคโปร์มีการดำเนินงานของภาครัฐอยู่ในระดับมาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายของภาครัฐ การปลอดคอร์รัปชั่น การบังคับใช้หลักฎเกณฑ์ กฎหมาย หรือหลักนิติธรรมที่เป็นไปอย่างเคร่งครัดเข้มงวด แต่ระดับการพัฒนาตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีก่อนๆ ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ทำให้คะแนนประสิทธิผลไม่สูงเท่าใดนัก เมื่อเปรียบเทียบกับ 3 ประเทศข้างต้น

สำหรับประเทศไทยมีคะแนนอยู่ในอันดับที่ 8 คือ ร้อยละ 25.2 นับว่าเป็นคะแนนที่ต่ำมาก เพราะตัวชี้วัดประสิทธิผลการดำเนินงานของภาครัฐทุกตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน คะแนนดังกล่าวสะท้อนว่า การดำเนินงานของภาครัฐยังไม่ได้รับการพัฒนาหรือปรับปรุงแก้ไขตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ซึ่งมีความสอดคล้องกับเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศที่อยู่ในสภาวะไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ

  • คะแนนประสิทธิผลของการดำเนินงานของภาคเอกชน อินโดนีเซียได้คะแนนเป็นอันดับที่ 1 ที่ร้อยละ 65.6 ตามมาด้วยสิงคโปร์ร้อยละ 58.9 ไทยร้อยละ 55.1 เมียนมาร์ร้อยละ 50 มาเลเซียร้อยละ 41.6 ลาวร้อยละ 38.4 ฟิลิปปินส์ร้อยละ 36.4 เวียดนามร้อยละ 33.5 บรูไนร้อยละ 25.5 และกัมพูชาร้อยละ 25

การดำเนินงานของภาคเอกชนไทยมีคะแนนอยู่ในระดับกลางๆ เนื่องจากคะแนนด้านการตอบสนองและการใส่ใจต่อผู้บริโภคอยู่ในระดับสูง แต่คะแนนด้านการสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจและความเป็นมืออาชีพอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนอย่างต่อเนื่องจนมาถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะต่ำลงเรื่อยๆ

จากคะแนนประสิทธิผลในแต่ละด้าน แม้ประเทศไทยจะมีความสุขสูงสุดในอาเซียน แต่ยังมีสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ด้านการศึกษาและด้านการดำเนินงานของภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่มีมาเป็นเวลานาน ไม่ใช่ปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก 

ผมกล่าวเสมอว่าทุกภาคส่วนควรร่วมมือกัน ภาครัฐต้องเข้มแข็งและเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ภาคเอกชนต้องพร้อมสนับสนุนและให้ความร่วมมือ ส่วนภาคประชาชนต้องพร้อมช่วยกันสอดส่องดูแลและเป็นผู้สะท้อนประเด็นปัญหาต่างๆ ขึ้นมา มากกว่านั้นทุกภาคส่วนไม่เพียงแต่สาละวนอยู่กับการแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพัฒนาต่อยอดทำให้จุดอ่อนเป็นจุดแข็ง และทำให้จุดแข็งเป็นจุดแกร่งของประเทศให้ได้

 

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ
คอลัมน์ : ดร.แดน มองต่างแดน

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD)
kriengsak@kriengsak.comhttp://www.kriengsak.com
แหล่งที่มาของภาพ