เป้าหมายการบริหารเศรษฐกิจ : Maximize output หรือ Optimize output
ผมจะขอขยายความข้อเปรียบเทียบระหว่างการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบ ldquo;ทักษิโณมิกส์rdquo; กับ ldquo;เศรษฐกิจพอเพียงrdquo; ให้กว้างออกไป โดยใช้แนวคิดทางด้านเศรษฐศาสตร์ของสำนักนีโอคลาสสิก (Neoclassical economics) ซึ่งเป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ศึกษากันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เป็นหลักอ้างอิงในมุมมองระหว่าง Maximize outputและ Optimize output
แนวคิดของเศรษฐศาสตร์สำนักนีโอคลาสสิกได้เริ่มก่อตัวและพัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2413 จนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐศาสตร์สำนักนี้ได้ มุ่งเป้าหมายที่การทำให้สวัสดิการของสังคมสูงสุด (Maximize social welfare) แต่เนื่องจาก ldquo;สวัสดิการrdquo; เป็นเรื่องความสุขและความพอใจของปัจเจกบุคคล ประกอบกับบริบทของสังคมในเวลานั้น นักเศรษฐศาสตร์ในยุคนั้นจึงมีแนวคิดแบบวัตถุนิยม (materialism) จึงทำให้คิดว่าความสุขของมนุษย์เกิดจากการบริโภคสินค้าและบริการต่าง ๆ
ดังนั้นปริมาณของสินค้าและบริการจึงถูกนำมาเป็นตัวแทนของระดับความสุขของคน กล่าวคือ หากสังคมสามารถผลิตและบริโภคสินค้าและบริการได้มากขึ้น หมายความว่าสังคมได้รับสวัสดิการมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นนักเศรษฐศาสตร์จึงต้องมีวิธีวัดผลิตภัณฑ์มวลรวม โดยกำหนด GDP ขึ้นมาเพื่อวัดมูลค่าของสินค้าและบริการที่ประเทศผลิตได้
การกำหนดเป้าหมายทางเศรษฐกิจแบบทักษิโณมิกส์
ทักษิโณมิกส์รับความคิดที่ใช้สินค้าและบริการมาเป็นตัวแทนของสวัสดิการประเทศอย่างเต็มรูปแบบ สังเกตได้จากการที่รัฐบาลทักษิณให้ความสำคัญสูงสุดกับเป้าหมายทางด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ นับครั้งไม่ถ้วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ประกาศตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจขึ้นมายืนยันความสำเร็จในการบริหารประเทศของตน การตั้งเป้าหมายการเติบโตของ GDP สูงสุดเป็นเป้าหมายแรก ทำให้ GDP กลายฐานะเป็นเป้าหมายปลายทางแทนที่จะเป็นเพียงตัวแทน อาจกล่าวได้ว่าแนวคิดทักษิโณมิกส์มีเป้าหมายทางเศรษฐกิจคือการทำให้ GDP สูงที่สุด (Maximizing GDP) ดูเหมือนว่าทักษิโณมิกส์ได้ละเลยเป้าหมายด้านสวัสดิการสังคม ซึ่งเป็นเบื้องหลังที่แท้จริงของการใช้ GDP ตัวแทน เช่น รัฐบาลทักษิณพยายามเร่งอัดฉีดเงินลงในระดับรากหญ้า โดยมุ่งทำให้อุปสงค์มวลรวมของประเทศเพิ่มขึ้น และสุดท้าย GDP ของประเทศจะเพิ่มขึ้น โดยอาจลืมไปว่าการอัดฉีดเงินลงไปในลักษณะสินเชื่อนั้น ในอีกด้านหนึ่งทำให้ชาวบ้านมีหนี้สินมากขึ้น ซึ่งการเป็นหนี้สินนี้กลับทำให้คนเป็นทุกข์ต่อมาในระยะยาว เพื่อแลกกับการได้บริโภคสินค้าและบริการในระยะสั้น
การกำหนดเป้าหมายทางเศรษฐกิจแบบเศรษฐกิจพอเพียง
ในทางตรงกันข้าม แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการวิพากษ์การใช้ปริมาณสินค้าและบริการในฐานะตัวแทนของ ldquo;สวัสดิการrdquo; ของประเทศ ทั้งเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิกและเศรษฐกิจพอเพียงมีเป้าหมายปลายทางคือ สวัสดิการสังคมเหมือนกัน แต่เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้เชื่อว่าสินค้าและบริการเท่านั้นที่นำมาซึ่งความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ได้เชื่อว่าการที่ได้บริโภคสินค้าและบริการที่สูงขึ้นหมายความว่าคนจะมีความสุขมากขึ้นตามไปด้วย แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงจึงไม่ได้ตั้งเป้าหมายเป็นการทำให้ปริมาณสินค้าและบริการสูงสุด หรือการทำให้การเติบโตของ GDP สูงที่สุด ทั้งนี้เศรษฐกิจพอเพียงเชื่อว่าปัจเจกควรผลิตและบริโภคสินค้าและบริการ ในปริมาณที่เหมาะสม (optimal product) ซึ่งจะทำให้แต่ละคนได้รับความสุขสูงสุด (Maximizing Happiness)นอกจากนี้เศรษฐกิจพอเพียงยังมองปัจจัยที่กำหนดความสุขของคนว่า มีหลากหลายตามความเฉพาะเจาะจงของปัจเจกบุคคล ดังนั้น การสร้างสวัสดิการของสังคมจึงมิใช่การพยายามสร้างวัตถุหรือทำให้คนมีรายได้ให้มากที่สุดเพื่อจะให้ตนเองมีความสุขมากที่สุดเท่านั้น แต่เป็นการทำให้แต่ละคนมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะตัวของเขาเอง
แม้เศรษฐกิจพอเพียงจะเห็นว่า บุคคลไม่ได้ทำการโดยมีเหตุผลเชิงเศรษฐศาสตร์เสมอไป แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับการตัดสินใจที่ขาดเหตุผล แต่กลับเห็นว่ามนุษย์ควรตัดสินใจโดยใช้เหตุผล และใช้สติปัญญาในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ หลักเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ต้องการให้มนุษย์ใช้เหตุผลเพื่อแสวงหาผลประโยชน์และความพึงพอใจส่วนตนสูงสุด แต่เป็นการใช้เหตุผลในการแสวงหาผลประโยชน์และความพึงพอใจอย่างพอประมาณหรืออย่างสมดุล
ผมจึงเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า ldquo;บุคคลที่ได้ทรัพย์สมบัติในโลกนี้มากที่สุด ไม่ได้หมายความว่า เขาจะมีความสุขมากที่สุด แต่บุคคลที่ให้ออกไปมากที่สุดและดำรงตนอยู่ด้วยความพอดี อาจมีความสุขมากที่สุดก็เป็นได้rdquo;