ทำไม ?ขาโจ๋? จึงเป็นคู่กัดกับ ?ขาประจำ? (จบ)
ผมได้กล่าวถึงความขัดแย้งของ ldquo;ขาโจ๋rdquo; หรือนักการเมือง (ฝ่ายรัฐบาล) และ ldquo;ขาประจำrdquo; หรือนักวิชาการ ซึ่งเกิดจากเป้าหมายของนโยบายที่นำเสนอนั้นแตกต่างกัน โดยนักการเมืองมีเป้าหมายเพื่อคะแนนเสียงสูงสุด แต่นักวิชาการมีเป้าหมายเพื่อเพื่อสวัสดิการสูงสุด
เมื่อความเห็นเรื่องนโยบายที่ควรจะเป็นไม่ลงรอยกัน จึงตามมาด้วยการ ldquo;เจรจาต่อรองrdquo; ระหว่างนักการเมือง (ฝ่ายรัฐบาล) กับนักวิชาการ ซึ่งแน่นอนว่ากระบวนการต่อรองนี้ไม่ใช่การต่อราคาเสื้อที่ตลาดโบ๊เบ๊ แต่เป็นการ ldquo;นำเสนอความเห็นrdquo; จากนักวิชาการไปสู่รัฐบาล อย่างนุ่มนวลบ้าง หรือรุนแรงบ้าง
และด้วยความที่นักวิชาการมีจำนวนมาก หรืออย่างน้อยก็มากกว่านายกรัฐมนตรีซึ่งมีเพียงคนเดียว จึงน่าเห็นใจว่าท่านนายกจะมีความรู้สึกเหมือนถูกรุมสกรัมจากนักวิชาการ ทำให้รู้สึกอย่างที่วัยรุ่นพูดว่า ldquo;เสียเซลฟ์ (self)rdquo; จนต้องใช้สิ่งที่วิชาจิตวิทยาเรียกว่า ldquo;กลไกการป้องกันตนเองrdquo; (defense mechanism) ด้วยการบริภาษนักวิชาการที่กล้ามา ldquo;นำเสนอความคิดrdquo; ด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด
จริง ๆ แล้วปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นกับนายกรัฐมนตรีทุกคน แต่เหตุใดปรากฏการณ์นี้จึงรุนแรงเป็นพิเศษในสมัยรัฐบาลทักษิณ ผมคิดว่ามีปัจจัยกำหนดอย่างน้อย 2 ปัจจัย
ปัจจัยแรกคือ ความไม่สมดุลระหว่างความสำคัญของการตลาดและวิชาการของพรรคไทยรักไทย เป็นที่ทราบกันดีว่าท่านนายกนั้นเติบโตมาจากความเป็นนักธุรกิจ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคนิคการตลาด ทำให้ท่านอาจนำความสามารถเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ในการออกนโยบายทางการเมืองด้วย ในขณะที่ทางด้านวิชาการนั้น แม้พรรคไทยรักไทยอาจพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากเท่ากับการใช้ความสามารถทางการตลาด ซึ่งสามารถผลิตนโยบายออกมาได้ ldquo;โดนใจrdquo; ประชาชนอย่างมาก
เมื่อนโยบายที่ออกมาเป็นที่ชอบใจของประชาชน แต่ขาดรากฐานทางวิชาการตามอย่างที่ควรจะเป็น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่นักวิชาการจะออกมาพูดสิ่งที่ดูเหมือนขัดแข้งขัดขามากกว่ารัฐบาลอื่น ที่นโยบายส่วนใหญ่ถูกผลิตจากเทคโนเครตซึ่งผลิตนโยบายโดยใช้หลักวิชาการในระดับหนึ่ง
ปัจจัยที่สอง ปัจจัยทางจิตวิทยาในตัวท่านนายก ซึ่งเรื่องนี้ผมคงอธิบายไม่ได้ดีกว่าตัวคุณทักษิณเองว่า ปัจจัยนี้มีอิทธิพลต่อการกำหนดการแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดของท่านอย่างไร
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาอย่างเป็นธรรม นักวิชาการจำนวนหนึ่งอาจไม่ได้เป็นตามอุดมคติ คือมิได้มีเป้าหมายในการเสนอความเห็นเพื่อสวัสดิการสูงที่สุดของประเทศ แต่อาจมีเป้าหมายแฝงเพื่อประโยชน์ของตนเองในรูปแบบต่าง ๆ (ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทอง)
ดังนั้น ผมเห็นว่าทางออกที่ดีที่สุดในกระบวนการ ldquo;เจรจาต่อรองrdquo; ระหว่างรัฐบาลกับนักวิชาการ ควรเป็นการสนับสนุนให้มีการวิจัยอย่างเป็นกลางก่อนจะกำหนดนโยบายใด ๆ เพื่อให้การประกาศใช้นโยบายต่าง ๆ เกิดผลดีที่สุดต่อประเทศ ส่วนการทำ ldquo;การตลาดrdquo; สำหรับนโยบายนั้น ควรเป็นไปเพื่อให้ประชาชนทราบถึงผลดีและผลกระทบของนโยบายอย่างครบถ้วน