การเมืองว่าด้วยการดีเบต
ข้อเสนอของพรรคไทยรักไทยที่กำหนดจุดยืนในการเจรจาหาทางออกทางการเมืองว่า พรรคไทยรักไทยพร้อมจะเจรจา หรือ ldquo;ดีเบตrdquo; 3 ฝ่าย ตามข้อเสนอของพีเน็ต ในวันที่ 24 มีนาคม 2549 โดยให้ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ได้ แต่ทั้งนี้เครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะต้องยอมปฏิบัติตาม 2 เงื่อนไข คือ
หนึ่ง ภายหลังการดีเบตผ่านทางถ่ายทอดสดแล้ว ทุกฝ่ายต้องยอมรับการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย.2549 ว่าเป็นที่สิ้นสุดและ
สอง ก่อนจะออกเวทีดีเบตหนึ่งวัน กลุ่มพันธมิตรฯจะต้อง ยุติการชุมนุมและเคลื่อนไหว ซึ่งข้อเสนอนี้ถือว่าสิ้นสุดและจะไม่รับการต่อรองใด ๆ อีก
แม้แกนนำเครือข่ายพันธมิตรฯได้ออกมาปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวแล้ว แต่หากพิเคราะห์ข้อเสนอของพรรคไทยรักไทย นับเป็นข้อเสนอที่ยอมรับไม่ได้ เพราะสะท้อนท่าทีของความไม่จริงใจในการเจรจาเพื่อหาข้อยุติ แต่ข้อเสนอดังกล่าวเป็นเพียงกลเกมทางการเมืองที่พยายามเบี่ยงเบนประเด็น
เบี่ยงเบนความรับผิดชอบออกจากฝ่ายรัฐบาล
การยื่นข้อเสนอการดีเบตแบบมีเงื่อนไขไปยังเครือข่ายพันธมิตรฯ นับเป็นความพยายามโยนความรับผิดชอบที่ตกอยู่กับนายกฯไปให้ฝ่ายตรงข้าม เพราะก่อนหน้านี้ นายกฯได้หลุดปากประกาศยอมรับคำท้าดีเบต 3 ฝ่าย ในรายการถึงลูกถึงคนเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา คำพูดดังกล่าวจึงได้กลายเป็นพันธนาการผูกมัดต่อนายกฯ ให้ต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง ทั้ง ๆ ที่พยายามหลีกหนีการดีเบตออกทีวีมาโดยตลอด
ข้อเสนอข้างต้นของพรรคไทยรักไทยเป็นกลยุทธ์ในการเปลี่ยนฐานะของตนเอง จากฝ่ายรับให้กลายเป็นฝ่ายรุก โดยโยนภาระที่นายกฯต้องตัดสินใจรับคำท้าดีเบตจากเครือข่ายพันธมิตรฯ ให้เป็นภาระของเครือข่ายพันธมิตรฯ ที่ต้องตัดสินใจรับคำท้าดีเบต ตามเงื่อนไขที่พรรคไทยรักไทยกำหนดขึ้น ทั้ง ๆ ที่พรรคไทยรักไทยทราบอยู่แล้วว่า เครือข่ายพันธมิตรฯไม่มีทางที่จะยอมรับข้อเสนอที่ไม่ยุติธรรมดังกล่าวอย่างแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงสามารถคาดเดาได้ไม่ยากว่า ฝ่ายรัฐบาลจะนำคำปฏิเสธของเครือข่ายพันธมิตรฯ ไปเป็นข้ออ้างให้นายกฯหลบหนีการดีเบตออกโทรทัศน์ต่อไปได้อีก และยังอาจนำเอาท่าทีการปฏิเสธของเครือข่ายพันธมิตรฯ ไปพูดเพื่อโจมตีได้ว่า ldquo;เครือข่ายพันธมิตรฯไม่กล้ารับคำท้าดีเบตของนายกฯrdquo;
เบี่ยงเบนเป้าการโจมตีออกจากตัวนายกฯ
การยื่นข้อเสนอของพรรคไทยรักไทยต่อพีเน็ต มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ มีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นของการดีเบต ออกจากการรวมศูนย์ที่ตัวนายกฯ ไปสู่ปัญหาของรัฐบาล โดยอ้างว่า ldquo;ประเด็นปัญหาไม่ได้หยุดอยู่ที่ครอบครัวของนายกฯเท่านั้น แต่เป็นความแตกต่างในการมองนโยบายrdquo;
เช่นเดียวกับการกำหนดตัวแทนฝ่ายรัฐบาลที่จะมาดีเบต ที่กำหนดให้เป็นคนอื่นในพรรคไทยรักไทย โดยระบุว่า ที่มีความรู้
ในทุกเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามสงสัย ทั้ง ๆ ที่นายกฯทักษิณน่าจะเป็นคนเดียวเท่านั้นที่มีความรู้ในทุกเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามสงสัย ท่าทีดังกล่าวนับว่าแตกต่างจากท่าทีของนายกฯที่เคยพูดในรายการถึงลูกถึงคนว่า ตนเองยินดีดีเบตออกทีวีกับตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้านและเครือข่ายพันธมิตรฯ ฝ่ายละ 1 คน จะเป็นคน
ท่าทีดังกล่าวจึงเป็นเพียงกลยุทธ์การเบี่ยงเป้าหมายการโจมตีออกจากตัวนายกฯทักษิณ ด้วยพรรคไทยรักไทยทราบดีว่า การให้นายกฯออกดีเบตจะเป็นผลเสียมากกว่าได้ เพราะนายกฯจะไม่สามารถตอบคำถามของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน และมีความเป็นไปได้ที่ตัวแทนของพรรคไทยรักไทยจะใช้ข้ออ้างว่า ไม่สามารถตอบคำถามแทนนายกฯทักษิณได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามบางประการ
เบี่ยงเบนวัตถุประสงค์ของการดีเบต
การยื่นเงื่อนไขในการจัดดีเบต โดยแลกกับการยุติการชุมนุม และการให้ฝ่ายตรงข้ามยอมรับผลการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 แสดงให้เห็นท่าทีของฝ่ายรัฐบาลที่มองว่า การดีเบตเป็นเพียงพิธีกรรม หรือเป็นการแสดงปาหี่ที่พยายามทำให้ผ่าน ๆ ไปเท่านั้น แต่ไม่ใช่เพื่อการทำความจริงให้ปรากฏ
ฝ่ายรัฐบาลพยายามทำให้ประชาชนเข้าใจผิดไปว่า การดีเบตครั้งนี้เป็นการหาเสียงเลือกตั้งเหมือนดังที่ต่างประเทศเขาทำกัน จึงกำหนดเงื่อนไขให้ฝ่ายตรงข้ามยอมรับผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น โดยอ้างว่าให้เป็นการตัดสินใจของประชาชนหลังจากที่ได้รับฟังข้อมูลจากการ
ดีเบตแล้ว
แต่ในความเป็นจริง วัตถุประสงค์ของการดีเบตครั้งนี้ คือ การที่นายกฯจะต้องแสดงข้อมูล เหตุผล และหลักฐานที่สามารถ
หักล้างข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่อดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านและประชาชนผู้ชุมนุมมีข้อสงสัยต่อนายกฯ ดังนั้นการยุติการชุมนุมจึงควรเกิดขึ้นจากความพึงพอใจที่ประชาชนได้รับจากคำตอบของนายกฯ มิใช่ถูกใช้เป็นเงื่อนไขเพื่อแลกเปลี่ยนกับการจัดให้มีการดีเบต
เงื่อนไขนี้ของฝ่ายรัฐบาลจึงไม่แตกต่างจากพฤติกรรมที่พรรคไทยรักไทยเคยปฏิบัติมา ในช่วงที่ครองเสียงข้างมากในสภาฯ ไม่ว่าจะเป็น การพิจารณาร่างกฎหมายต่าง ๆ การโหวตเพื่อลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ซึ่งพรรคไทยรักไทยไม่เคยสนใจเหตุผลของการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ แต่กลับใช้วิธีการ ldquo;พวกมากลากไปrdquo; โหวตเอาชนะในสภามาโดยตลอด
การที่ฝ่ายรัฐบาลมิได้มีท่าทีที่จริงใจจะเข้าร่วมการเจรจา ด้วยเงื่อนไขที่เป็นธรรม แต่กลับพยายามเล่นการเมืองเพื่อชิงความได้เปรียบอยู่ตลอดเวลา ทำให้การยุติปัญหาทางการเมืองในปัจจุบัน จึงไม่อาจได้ข้อยุติด้วยการเจรจาของฝ่ายต่าง ๆ