ประกันสังคม ? ยิ่งประกัน ยิ่งเสี่ยง?

จากข่าวคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการเกี่ยวกับนโยบายด้านสังคม จำนวน 28 ประเด็น ประเด็นหนึ่งคือ แนวคิดการจัดทำแผนสวัสดิการลูกจ้าง โดยให้มีคณะกรรมการจัดทำแผนสวัสดิการลูกจ้าง ดำเนินการศึกษาจัดทำรายละเอียดการดึงเงินจากกองทุนประกันสังคมมาใช้ในการจัดสวัสดิการเงินกู้ให้ผู้ประกันตน ซึ่งจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานล่างในระยะสั้น อีกทั้งเพื่อการตั้ง ldquo;ธนาคารลูกจ้างrdquo; ต่อไปในอนาคต อันจะทำให้เกิดผลดีต่อลูกจ้างผู้ประกันตน 16 ล้านคน
ประเด็นดังกล่าว แม้รัฐบาลจะมีเหตุผลว่าเพื่อให้เกิดผลดีแก่ลูกจ้างผู้เอาประกัน แต่ในทัศนะของผม ความพยายามในการนำเงินประกันสังคมมาใช้เช่นนี้ เป็นอีกคำรบหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึง ldquo;ความเสี่ยงrdquo; ของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ซึ่งที่ผ่านมาต้องรับความเสี่ยงมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น
เสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ดังเช่นในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา คงจำกันได้ถึงการให้สิทธิทำฟันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบันได้กลับไปใช้รูปแบบเดิม เพราะไม่ได้คิดใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้จริงอย่างรอบคอบ
เสี่ยงต่อการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ในกรณีนี้เช่นกันที่เกิดคำถามขึ้นว่า การที่รัฐบาลมีแนวคิดนำเงินประกันสังคมมาใช้ ส่วนหนึ่งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาอยู่ขณะนี้ เหมาะสมหรือไม่ การคิดว่าเงินจำนวนมากของกองทุนนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำได้นั้น แม้เป็นเรื่องจริง แต่คงเป็นการคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะเงินประกันสังคมเป็นเงินของผู้ประกันตน เป็นหลักประกันสำหรับอนาคต ไม่ใช่เงินที่มีวัตถุประสงค์ในการนำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หากรัฐบาลทุกชุดคิดเช่นนี้ โอกาสที่นำเงินไปลงทุนแบบมีความเสี่ยงต่อผู้ประกันตนในระยะยาวย่อมเป็นไปได้มาก เพราะคำนึงเพียงผลประโยชน์ระยะสั้น แต่กลับมีความเสี่ยงสูงในระยะยาวได้
เสี่ยงต่อการลงทุนที่มีความเสี่ยง นอกจากนี้ หน้าที่หลักของประกันสังคมที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อคุ้มครองด้านสวัสดิการของผู้ใช้แรงงาน 7 กรณี คือ เจ็บป่วย ตาย ทุพพลภาพ สงเคราะห์บุตร คลอดบุตร ชราภาพ และว่างงาน การนำเงินมาใช้เพื่อประโยชน์ของผู้ประกันรูปแบบอื่น เช่น การนำไปตั้งธนาคารนั้น นอกจากจะไม่มีกฎหมายรองรับ ยังไม่ใช่ภารกิจหลักที่ควรจะทำ เงินส่วนที่ควรนำไปลงทุนควรไปลงทุน มิใช่ตั้งตัวเป็นผู้ประกอบการเอง เพราะขาดความชำนาญ โอกาสเสี่ยงที่จะขาดทุนย่อมมีสูง
เสี่ยงต่อการทุจริตคอร์รัปชัน ที่ผ่านมา แม้ว่าคณะกรรมการประกันสังคมจะประกอบด้วยบุคคลจากสามฝ่าย อันได้แก่ นายจ้าง ลูกจ้าง และข้าราชการ แต่กลับมีข่าวมาโดยตลอดเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการบริหาร มีข้อครหาว่าตัวแทนลูกจ้างไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ให้ลูกจ้างได้อย่างแท้จริง มีความเชื่อมโยงกับอำนาจทางการเมืองในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ จนอาจเรียกได้ว่า ผู้ประกันตนกว่า 8 ล้านคน เป็นผู้ไม่มีสิทธิ ไม่มีเสียงในการแสดงความคิดเห็น การกำหนดนโยบาย การยอมรับหรือปฏิเสธข้อเสนอต่าง ๆ ที่ทางประกันสังคมหยิบยื่นให้ ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง
ผมเสนอว่า ควรมีการจัดตั้งองค์กรคุ้มครองผู้ประกันตนขึ้น เพื่อคอยดูแลสิทธิและพิทักษ์ผลประโยชน์ของผู้เอาประกัน และทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินของกองทุนประกันสังคม ปัจจุบันกลายเป็นว่า ต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเป็นผู้ตรวจสอบการรั่วไหลของเงินประกันสังคม ซึ่งทางออกที่ดีกว่าผู้เอาประกันจากภาคส่วนต่าง ๆ ควรรวมตัวกันเพื่อตรวจสอบและพิทักษ์ผลประโยชน์ของตน.
นอกจากนี้ ข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูประบบประกันสังคม จึงควรเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและดำเนินการให้เกิดขึ้นจริงต่อไป เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นใจแก่ผู้ประกันตนว่า เงินประกันสังคมที่จ่ายทุกเดือนนั้น เป็นเงินที่ช่วยประกันความเสี่ยงในยามป่วย ว่างงาน และยามชรา ไม่ใช่เงินที่มีความเสี่ยง และต้องรู้สึกหวาดหวั่นตลอดเวลาว่า เงินที่เก็บสะสมไว้ยังอยู่หรือไม่ เมื่อถึงวัยเกษียณจะได้รับเงินหรือไม่ หรือว่าถูกละลายหายไปกับการนำไปใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ
admin
Catagories: 
เผยแพร่: 
หนังสือพิมพ์ยอดแหลมนิวส์
เมื่อ: 
2007-06-22