ราคาน้ำมันจะถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือไม่
เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้น จนหลายฝ่ายเกิดความวิตกว่า ราคาน้ำมันอาจขึ้นไปถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยอย่างรุนแรงได้ แต่ราคาน้ำมันจะไปถึงระดับดังกล่าวหรือไม่นั้น น่าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ
ประการแรก ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านประเด็นการพัฒนานิวเคลียร์
กรณีที่สหรัฐอเมริกาและองค์การสหประชาชาติยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลอิหร่านหยุดการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ เพราะคาดการณ์ว่าอิหร่านจะพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ไปถึงระดับ 5 ซึ่งเทียบเท่าความสามารถในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ อันเป็นการขัดต่อสนธิสัญญาว่าด้วยการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ แต่อิหร่านยังคงยืนยันว่าตนเองจะพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ต่อไป โดยเป็นการพัฒนาในรูปแบบพลังงานทดแทน สหรัฐฯจึงเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ บอยคอตอิหร่าน ทำให้ทั่วโลกเกรงว่าจะเกิดสงครามขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่จะเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติไม่เห็นด้วยกับการบอยคอตอิหร่าน ทำให้สหรัฐฯต้องพยายามหามาตรการอื่นมากดดันให้อิหร่านเลิกพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ ในขณะที่อิหร่านเริ่มมีท่าที่อ่อนลง โดยเสนอให้มีคนกลางมาดำเนินการเจรจาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ส่งผลทำให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดนั้นผ่อนคลายลง และทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกอ่อนตัวลงเล็กน้อย
ผมคิดว่า อิหร่านต้องการให้มีการเจรจามากกว่าต้องการจะให้เกิดการปะทะกันทางทหาร เพราะรัฐบาลอิหร่านไม่เห็นทางที่จะเอาชนะสหรัฐฯได้ และไม่ต้องการให้ประเทศชาติล่มจมเหมือนประเทศอิรัก แต่จะพยายามเล่นเกมการเมืองระหว่างประเทศเพื่อยืดสถานการณ์ออกไปให้นานที่สุด เพราะหากผู้นำอิหร่านยอมอ่อนข้อต่อสหรัฐฯ ย่อมจะทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนจนต้องลงจากอำนาจในที่สุด ด้วยเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเกิดสงครามเช่นนี้ ราคาน้ำมันดิบจะสูงจนไปถึง 100 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลอย่างที่มีการคาดการณ์ไว้ แต่กระนั้น ราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ต่อไป เนื่องจากการเจรจาจะยืดเยื้อเพราะไม่สามารถหาข้อยุติได้ง่ายนัก
ประการที่สอง การก่อตั้งเขตการค้าเสรีของโบลิเวีย เวเนซูเอลา และคิวบา เพื่อต่อต้านสหรัฐฯ
การรวมตัวดังกล่าวมีผลกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เพราะประเทศเวเนซูเอลาเป็นหนึ่งประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก และประเทศโบลิเวียมีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก การรวมกลุ่มกันเพื่อต่อต้านสหรัฐฯ โดยเวเนซูเอลายกเลิกการขายน้ำมันดิบให้สหรัฐฯ และโบลิเวียสั่งการให้กองกำลังทหารเข้าไปปิดกั้นที่ทำการของบริษัทต่างชาติ ที่เข้ามาดำเนินงานเกี่ยวกับการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในโบลิเวีย เหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขยับตัวขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ดี การรวมตัวของทั้ง 3 ประเทศนี้น่าจะเป็นการรวมตัวแบบเฉพาะกิจ เพื่อสร้างอำนาจต่อรองเกี่ยวกับผลประโยชน์ มากกว่าจะเป็นการรวมตัวอย่างถาวร เนื่องจากรายได้หลักของประเทศเหล่านี้มาจากการค้ากับสหรัฐฯ การต่อต้านสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้อย่างรุนแรง โดยจะทำให้การส่งออกลดลงและอาจจะนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจภายในประเทศได้ ดังนั้นผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของทั้ง 3 ประเทศนี้ จึงอาจเป็นเพียงผลกระทบชั่วคราวเท่านั้น แต่คำว่า ldquo;ชั่วคราวrdquo; ในที่นี้อาจกินระยะเวลาอย่างน้อยถึง 180 วัน ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลโบลิเวียเปิดโอกาสให้เจ้าของธุรกิจพลังงานต่างชาติเข้ามาเจรจา
ราคาน้ำมันในตลาดโลกจึงยังไม่น่าจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่สถานการณ์ที่ยังยืดเยื้อและคลุมเครือต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2549 ประกอบกับความต้องการใช้น้ำมันที่สูงขึ้นมาก จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบขยับตัวสูงขึ้น แต่จะไม่น่าจะไปถึงระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล