เรียนมหาวิทยาลัย สำคัญที่แรงจูงใจ
ที่ผ่านมาผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายกับการจัดการอุดมศึกษาไทย ต่างแสดงความเป็นห่วงในเรื่องแรงจูงใจของผู้เรียนไทยในการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยว่า มีผู้เรียนจำนวนมากเลือกเรียนเพียงเพื่อให้ได้ปริญญาเป็นใบเบิกทางเข้าสู่ตำแหน่งงานโดยไม่ได้ให้ความสนใจในสาขาวิชาที่เรียน จนอาจนำไปสู่ปัญหาแรงงานระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ และเกิดภาวะล้นตลาด ซึ่งหากนักศึกษาจำนวนมากเรียนโดยที่ไม่มีใจรักในสิ่งที่เรียน ย่อมไม่สามารถเข้าถึงแก่นความรู้ในสาขาวิชานั้น ๆ ซึ่งยากในการต่อยอดองค์ความรู้และไม่สามารถประยุกต์ที่เรียนมาใช้พัฒนาประเทศ
ประเด็นแรงจูงใจในการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษานี้ มีการถกเถียงในประเทศอังกฤษเช่นกัน โดย ศาสตราจารย์ไมค์ ธอร์น (Mike Thorne) รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแองเกลีย รัสกิน (Anglia Ruskin University) กล่าวโทษรัฐบาลอังกฤษที่ทำให้เกิดค่านิยมการเรียนเพื่อเข้าสู่โลกการทำงาน โดยไม่ได้เห็นความสำคัญในสิ่งที่เรียนหรือความรู้ที่ได้อย่างแท้จริง
ศาสตราจารย์ธอร์น กล่าวว่า ปัจจุบันแรงจูงใจในการเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่ได้อยู่ที่การรักในสิ่งที่เรียน แต่เกิดจากการเห็นว่าใบปริญญาเป็นเหมือนหนังสือเดินทางที่นำไปสู่โลกของการทำงาน มีนักศึกษาส่วนน้อยเท่านั้นที่มีค่านิยมเรียนเพราะเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรียน แต่ค่านิยมนี้เริ่มจากหายไป นับตั้งแต่รัฐบาลทำให้มหาวิทยาลัยเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยนโยบายการศึกษาของประเทศหลายข้อถูกผลักดันด้วยประเด็นทางการเงิน
นโยบายการศึกษาของรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนแรงจูงใจของนักศึกษา จากการศึกษาเพื่อแสวงหาความรู้ ไปสู่การศึกษาเพื่อให้ได้งานทำเป็นหลัก ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นสิ่งที่นายจ้างทุกคนต้องการ เพราะหากนักศึกษาไม่มีแรงจูงใจที่จะเรียนเพื่อรู้ลึกในสาขาที่ตนเองเรียน แต่เรียนเพียงเพื่อให้ได้ใบปริญญา เมื่อเข้าสู่โลกของการทำงาน พวกเขาย่อมไม่ให้ความสำคัญกับการทำงานมากไปกว่าเงินเดือนที่จะได้รับเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ ความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจและการศึกษามีไม่มากนัก ลูกตุ้มที่แกว่งไปมาระหว่าง 2 ด้าน มักจะแกว่งไปที่การศึกษามากกว่าเศรษฐกิจ นักศึกษามหาวิทยาลัยจะเห็นคุณค่าและรักในสิ่งที่เรียน แม้ว่าปริญญาบัตรที่ได้รับจะไม่ได้นำไปสู่โลกของการทำงานในภาคธุรกิจก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ได้นำพวกเขาไปสู่โลกของนักวิชาการ ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ให้กับประเทศ ซึ่งนักศึกษามหาวิทยาลัยแองเกลีย รัสกินยังยึดค่านิยมนี้ไว้จนถึงปัจจุบัน
เลวิส อีตัน (Lewis Elton) ศาสตราจารย์ (เกียรติคุณ) ยูนิเวอซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน (University College Lodon) ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในมุมตรงข้าม กล่าวว่า ความคิดของศาสตราจารย์ธอร์นไม่ใช่สิ่งผิด แต่หากมองอีกด้าน มหาวิทยาลัยมีบทบาทและภารกิจได้เพียงการเตรียมความพร้อมนักศึกษาสำหรับการใช้ชีวิตจริงในโลกของการทำงาน แต่ไม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนแรงจูงใจในการเรียนของนักศึกษาได้ อีกทั้ง บรรดานายจ้างไม่ได้กำหนดชัดว่าพวกเขาต้องการพนักงานที่มีแรงจูงใจที่ถูกต้องทั้งในการเรียนและการทำงานหรือไม่ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ ความสามารถในการทำงาน
แม้ว่า แรงจูงใจในการเรียนที่เกิดจากการรักสิ่งที่เรียนมีความสำคัญ แต่ไม่ได้ผิดอะไรหากนักศึกษาจะศึกษาต่อมหาวิทยาลัยในบางสาขา โดยมีความตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องได้ใบปริญญาเพื่อเป็นใบเบิกทางเข้าสู่การทำงานในสาขาที่ตนเองสนใจ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเข้าไปทำงานกับภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบและเป็นประเด็นถกเถียงกันคือ นักศึกษาจำนวนมากไม่ได้ตั้งเป้าหมายตั้งแต่แรกว่า จะเรียนสาขาใดหรือจบออกไปจะประกอบอาชีพใด แรงจูงใจในการเรียนคือ เรียนอะไรก็ได้เพื่อให้ได้ใบปริญญา ความรักในสิ่งที่เรียน และความตั้งใจในการเรียนจึงมีน้อย
ลักษณะของนักศึกษาที่เรียนเพื่อให้ได้ใบปริญญาคือ เลือกเรียนสาขาอะไรก็ได้ที่เรียนไม่ยาก จบง่าย หรือไม่สนใจว่าความรู้ที่ได้นั้นสามารถนำไปใช้ในโลกของการทำงานได้หรือไม่ ไม่ได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะเข้ามาตักตวงเอาความรู้จากมหาวิทยาลัยให้ได้มากที่สุด พฤติกรรมการเรียนจะมีในลักษณะ เข้าเรียนบ้างไม่เข้าเรียนบ้าง อาศัยการถ่ายเอกสารจากสมุดบันทึกคำบรรยายขออาจารย์เพื่อน หรือเอกสารที่แจกในห้องเรียน เอาไว้อ่านช่วงใกล้สอบ นักศึกษาบางคนเรียนไปเรื่อย ๆ เมื่อเกิดความเบื่อหน่ายในสิ่งที่เรียนก็ใช้วิธีเปลี่ยนสาขาวิชาเอกหรือเปลี่ยนคณะ หรือร้ายแรงที่สุดคือ ลาออกจากมหาวิทยาลัย พฤติกรรมดังกล่าวก่อให้เกิดความสูญเปล่าของงบประมาณประเทศ เพราะค่าเล่าเรียนของนักศึกษากว่าครึ่งเป็นเงินงบประมาณประเทศ แต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงานและสังคม หรือนักวิชาการแต่ละสาขาวิชาต่าง ๆ ที่จะมาสร้างองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ
ในทางตรงข้ามกับนักศึกษาที่มีแรงจูงใจในการเรียน เพื่อได้วิชาความรู้ที่สำคัญต่อการก้าวเข้าสู่โลกของการทำงาน หรือโลกของนักวิชาการ จะมีพฤติกรรมที่แสดงออกแตกต่างจากข้างต้นคือ นักศึกษาจะมีเป้าหมายว่าต้องการเรียนในสาขาวิชาหรือคณะใด โดยตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะเชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้น ๆ เพื่อไปเป็นนักวิชาการ หรือทำงานในบริษัทหรือหน่วยงานที่รับคนที่จบในสาขาดังกล่าว ในการเรียนจะมีความตั้งใจมากกว่านักศึกษาที่มีแรงจูงใจอยู่ที่ใบปริญญา
ดังนั้น การมีแรงจูงใจเพื่อการแสวงหาตักตวงความรู้ รวมถึงการมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งสำคัญ ย่อมจะได้จากประโยชน์การเรียนให้ตนเอง มีความสุขในการเรียนรู้ในสาขานั้น ๆ และสามารถมเข้าสู่โลกของการทำงานในภาคธุรกิจ หรือโลกของนักวิชาการได้อย่างมีคุณภาพ
เผยแพร่:
การศึกษาวันนี้
เมื่อ:
2008-03-27