ดันกฎหมายการศึกษาเป็น? วาระแห่งชาติ

ภายหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทในการจัดการศึกษาของประเทศไทย ได้มีการตรากฎหมายการศึกษาตามมาอีกหลายฉบับ ทั้งที่เป็น พ.ร.บ. พ.ร.ก. กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศ เพื่อให้การบริหารและการจัดการศึกษาเห็นผลเป็นรูปธรรม แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการบังคับใช้กฎหมายการศึกษายังมีความล่าช้า ในขณะที่มีการจัดโครงสร้างการบริหารของกระทรวงศึกษาธิการล่วงหน้าไปแล้ว

กลุ่มกฎหมายการศึกษา สำนักนิติกร สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (25 พ.ย. 2549) ได้รายงานว่ากฎหมายและกฎกระทรวงที่สำคัญ ๆ กว่า 107 ฉบับ มีการบังคับใช้ไปแล้ว 52 ฉบับ แต่อยู่ระหว่างการดำเนินการอีก 55 ฉบับ ได้แก่ กฎหมายการปฏิรูปการศึกษาจำนวน 42 ฉบับ ดำเนินการเสร็จ 15 ฉบับ การออกกฎกระทรวงตามความใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 จำนวน 23 ฉบับ ดำเนินการเสร็จ 12 ฉบับ การออกกฎกระทรวงตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 จำนวน 19 ฉบับ ดำเนินการเสร็จ 4 ฉบับ และการออกกฎกระทรวงตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 จำนวน 23 ฉบับ ดำเนินการเสร็จ 21 ฉบับ

เห็นได้ว่า มีกฎหมายและกฎกระทรวงสำคัญจำนวนกว่าครึ่งค้างอยู่ มาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ

ปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อย เฉพาะในรัฐบาล พันตำรวจโท ทักษิณฯ ทั้ง 2 สมัย เปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 6 คน ทำให้การผลักดันร่างกฎหมายการศึกษาขาดความต่อเนื่อง รัฐมนตรี ศธ. แต่ละคน ต่างต้องการผลักดันนโยบายการศึกษาที่เห็นผลรวดเร็ว จนละเลยการผลักดันร่างกฎหมายการศึกษาอื่นที่สำคัญ อีกทั้งรัฐมนตรี ศธ. แต่ละสมัยคิดเห็นต่างกัน โดยผลักดันกฎหมายเรื่องเดียวกันแต่ไปคนละทิศทาง

พิจารณา (ร่าง) กฎหมายการศึกษาช้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการไม่เห็นว่ากฎหมายการศึกษาเป็นวาระสำคัญ เมื่อเทียบกับการพิจารณาวาระอื่น เช่น ประเด็นด้านการพาณิชย์ การเศรษฐกิจ หรืออื่น ๆ ส่งผลให้การพิจารณาและผ่านร่างกฎหมายการศึกษาล่าช้า โดยเฉพาะการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. การศึกษา ซึ่งแต่ละฉบับต้องใช้เวลานาน 1 - 2 ปี และยิ่งเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลยิ่งทำให้การพิจารณากฎหมายการศึกษาล่าช้ามากขึ้น

ดังนั้น ผมเสนอว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันและรัฐบาลสมัยหน้า ควรผลักดันการบังคับใช้กฎหมายการศึกษาเป็นวาระสำคัญของชาติ ดังนี้

ผลักดันกฎหมายที่ค้างให้ผ่านและบังคับใช้ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเผยว่ามี ร่าง พ.ร.บ. หลายฉบับ ดำเนินการใกล้เสร็จ อาทิ พ.ร.บ.การศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. hellip;. ร่าง พ.ร.บ.อาชีวศึกษา พ.ศ. hellip;. ร่าง พ.ร.บ. โรงเรียนเอกชน พ.ศ. hellip;. ร่าง พ.ร.บ.การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. hellip;. และร่าง พ.ร.บ. สถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. hellip;. กำลังผลักดันสู่การพิจารณาใน สนช. และอาจบังคับใช้ในปี 2550 นี้

อย่างไรก็ตาม ยังมี ร่าง พ.ร.บ. และร่างกฎกระทรวงอีกหลายฉบับ ที่ยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และค้างอยู่ที่สภาฯ อาทิ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต พ.ศ. hellip;. ร่าง พ.ร.บ.การเงินเพื่อการอุดมศึกษา พ.ศ. hellip; ร่าง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินทุนเพื่อการผลิต การวิจัย และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. hellip;. กฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบ ติดตาม และประเมินประสิทธิภาพ ประสิทธิผล การใช้จ่ายงบประมาณการจัดการศึกษา พ.ศ. hellip;. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกระจายอำนาจและการมอบอำนาจ พ.ศ. hellip;. ฯลฯ

ผลักดันให้ปรับปรุงกฎหมายที่มีปัญหา การแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ มิใช่เรื่องง่าย โดยใช้ระยะเวลาไม่ต่างกับการพิจารณากฎหมายฉบับใหม่ การแก้ไขกฎหมายเหล่านี้ต้องเร่งดำเนินการผลักดันให้ผ่านและบังคับใช้ เนื่องจากเกิดผลเชิงลบต่อสังคมไทย อาทิ กฎหมายที่เกี่ยวกับการเรียนฟรี 12 ปี เพราะหากไม่มีกฎหมายชัดเจนเพียงพอ อาจกระทบต่องบประมาณของรัฐและไม่สามารถจัดการศึกษาได้มีคุณภาพ กฎหมายที่เกี่ยวกับการระดมทรัพยากรของสถานศึกษา เพื่อให้สถานศึกษามีแนวทางการระดมทรัพยากรได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ผลักดันกฎหมายใหม่รองรับกระแสโลกาภิวัตน์ รัฐบาลสมัยหน้าควรพิจารณาร่างกฎหมายใหม่ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ สังคม และนโยบายระดับรัฐและสังคมโลก อาทิ กฎหมายกฎระเบียบที่เกี่ยวกับการเปิดเสรีทางการศึกษา เพื่อป้องกันไม่ให้สถาบันการศึกษาไทยเสียเปรียบต่างชาติและสามารถแข่งขันได้ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ก่อนการผลักดันกฎหมายการศึกษาฉบับใด ๆ ควรทำรายงานการวิจัยผลกระทบเชิงบวกและลบของการใช้กฎหมายอย่างชัดเจน โดยทำวิจัยอย่างเป็นวิชาการ ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในหลายสาขา รวมถึงเปิดช่องทางให้ภาคประชาสังคมมีส่วนแสดงความคิดเห็นต่อกฎหมาย เพื่อให้มีมุมมองหลากหลายในการร่างและปรับปรุงกฎหมายการศึกษา และเกิดประโยชน์สูงสุดในขณะเดียวกันส่งผลกระทบเชิงลบน้อยที่สุด

แม้จะผลักดันร่างกฎหมายการศึกษาให้ผ่านออกมาใช้ได้แล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องคือ การกำหนดแนวทางให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสาระสำคัญของกฎหมายสู่กลุ่มผู้ปฏิบัติอย่างทั่วถึง เพื่อให้ผู้อยู่ในภาคปฏิบัติสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริง โดยใช้โอกาสและช่องทางต่าง ๆ อันจะทำให้การผลักดันและบังคับใช้กฎหมายการศึกษาประสบความสำเร็จได้
admin
เผยแพร่: 
การศึกษาวันนี้
เมื่อ: 
2007-11-01