เศรษฐกิจชะลอตัว
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา หลายท่านคงได้ทราบข่าวที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แถลงว่าภาวะเศรษฐกิจของไทยในไตรมาสที่ 1 ในปี 2548 มีอัตราขยายตัวเพียงร้อยละ 3.3 ซึ่งนับว่าเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ดังนั้น สคช. จึงได้ปรับประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจในปี 2548 เหลือร้อยละ 4.5-5.5 จากเดิมร้อยละ 5.5-6.5 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ร้อยละ 3.6 ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้เดิมร้อยละ 3.2 และดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลร้อยละ 0.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งต่ำกว่าการเกินดุลฯร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่คาดไว้เดิม
แต่จากการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตามกรอบการบริหารราชการแผ่นดิน 4 ปี (2548ndash;2551) เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2548 ที่ทำเนียบรัฐบาล รัฐบาลได้ยืนยันเป้าหมายเศรษฐกิจปี 2548 ต่อนักธุรกิจที่เข้าร่วมประชุมว่า เศรษฐกิจจะต้องขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5
ทั้งนี้การคาดการณ์ของ สศช. ที่ระบุว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2548 จะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 4.5-5.5 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่นายกฯ ได้ประกาศไว้ รวมถึงการที่เลขาธิการ สคช.ได้กล่าวว่า ldquo;การที่ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศจะขยายตัวที่ร้อยละ 5 ถือเป็นเรื่องยากrdquo; ทำให้มีความน่าเป็นห่วงว่า รัฐบาลจะสามารถดำเนินการตามที่ประกาศไว้ได้หรือไม่
หากพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันพบว่า มีปัจจัยหลายอย่างที่เป็นความเสี่ยง ซึ่งอาจส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถทำตามเป้าหมายไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงโครงการการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐหรือ เมกกะโปรเจ็คที่รัฐบาลคาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เนื่องจากมีมูลค่าการลงทุนที่สูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท แต่เศรษฐกรจาก สศค.กลับระบุว่า โครงการเมกะโปรเจกต์จะส่งผลต่อ GDP เพียงร้อยละ 0.2 เท่านั้น
ดังนั้นหากรัฐบาลยังคงยืนยันตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังที่ประกาศไว้นั้น รัฐบาลควรที่จะมีแนวทางในการดำเนินการ เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจโตไม่ต่ำกว่าเป้าหมาย อย่างรอบคอบ โดยไม่มองเพียงผลลัพธ์ของตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สวยงาม แต่ควรคำนึงถึงการนำปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ มาร่วมคิดในการกำหนดแนวทางและนโยบายต่าง ๆ อย่างสมจริง เพื่อไม่ให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้รับผลโดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลต้องเดือนร้อนในระยะยาว