ประมูลอัปยศ?โครงการเมกะโปรเจกต์(1)
เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ในงานเสวนา ldquo;โครงการอัปยศhellip;เมกะโปรเจกต์rdquo; จัดโดยสถาบันสหสวรรษ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ผมในฐานะวิทยากรได้แสดงความคิดเห็นต่อคำถามที่ว่า โครงการเมกะโปรเจกต์เป็นโครงการอัปยศอย่างไร จากการศึกษาและติดตามมาโดยตลอด ทั้งในฐานะนักวิชาการและนักการเมือง ผมพบว่า แม้หลายโครงการมีหลักการที่ดีและเป็นที่ปรารถนาของประชาชน แต่วิธีการดำเนินโครงการเหล่านี้ของรัฐบาลได้แสดงความอัปยศหลายประการ โดยเฉพาะรูปแบบการประมูล อาทิ
แสดงความเป็นทาส การประมูลโครงการเมกะโปรเจกต์โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ แต่เปิดกว้างให้นักลงทุนเสนอโครงการได้โดยไม่มีข้อจำกัด แม้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดจากทั่วโลก แต่วิธีการเช่นนี้สะท้อนถึงหัวใจของความเป็นทาส และแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังดูถูกความสามารถของคนไทย อีกทั้งยังปิดกั้นโอกาสที่คนไทยจะได้เรียนรู้องค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพราะเป็นการซื้อเทคโนโลยีสำเร็จรูปจากต่างประเทศ โดยที่คนไทยไม่ได้เรียนรู้ผ่านการคิดวิเคราะห์ และประยุกต์ให้เหมาะสมกับประเทศไทย
ในความเป็นจริง วิธีการแบบนี้อาจจะไม่ทำให้ได้ของที่เหมาะสมที่สุด เพราะชาวต่างชาติอาจไม่รู้จักประเทศไทย และไม่รู้ความต้องการของคนไทย ซึ่งอาจทำให้ได้เทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ไม่เหมาะสมกับประเทศไทย ทั้งนี้เพราะการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไม่ได้มีเฉพาะสิ่งปลูกสร้างด้านกายภาพเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงการบริหารจัดการ บุคลากร และวัฒนธรรมของคนไทยด้วย ผมจึงเห็นว่าการกำหนดรูปแบบของโครงการต่าง ๆ นั้นควรให้คนไทยเป็นหลัก และเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีได้จากที่ปรึกษาหรือการดูงานต่างประเทศ
แสดงความเป็นเผด็จการ การตัดสินใจของรัฐบาลในโครงการเมกะโปรเจ็กต์เกือบทั้งหมดเป็นแบบรวมศูนย์ ข้าราชการถูกทำให้ไร้ศักดิ์ศรี โดยการบีบให้ต้องเร่งจัดทำร่างโครงการตามธงที่รัฐบาลกำหนดไว้ การไม่ให้ความเชื่อถือต่อหน่วยราชการโดยการให้ต่างชาติเปลี่ยนแปลงโครงการได้ และการลดบทบาทของสภาพัฒน์ลง เพราะหลายโครงการถูกเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีโดยไม่ส่งให้สภาพัฒน์พิจารณากลั่นกรองเสียก่อน
รัฐบาลยังแทรกแซงการพิจารณาโครงการเมกะโปรเจกต์ โดยการที่นายกรัฐมนตรีไปนั่งเป็นประธานคณะกรรมการระดับชาติที่พิจารณาการประมูล ตลอดจนไม่มีกระบวนการรับฟังความเห็นและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ดังกรณีของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่มีการ
ประท้วงจากประชาชนว่า รัฐบิดเบือนข้อมูลที่ให้กับประชาชน และไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบได้แสดงความเห็นอย่างเพียงพอ
แสดงความไม่โปร่งใส เพราะการใช้วิธีเปิดประมูลโดยไม่มีทีโออาร์ที่เฉพาะเจาะจง แต่เปิดโอกาสให้ผู้ยื่นประมูลเสนอโครงการอย่างไรก็ได้ แม้ภาครัฐจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณา แต่เป็นหลักเกณฑ์ที่ยืดหยุ่นมาก ทำให้การพิจารณาผู้ชนะการประมูลขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการเป็นสำคัญ ซึ่งทูตต่างประเทศที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยด้วย ต่างไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้ เพราะไม่มั่นใจว่าจะโปร่งใส และไม่มีนอกมีใน
ประการสำคัญ การให้นายกฯ เป็นประธานในคณะกรรมการที่ทำหน้าที่พิจารณาการประมูล ทำให้เกิดความไม่เชื่อว่าการประมูลจะโปร่งใส เพราะสังคมยังเคลือบแคลงต่อความสุจริตของนายกฯ ที่ยังไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนต่าง ๆ ได้
แสดงความเชย รัฐบาลประกาศนโยบายโมเดิร์นไนซ์ประเทศไทย เพื่อพัฒนาประเทศให้ทันสมัย แต่กลับใช้วิธีการที่โบราณ โดยเสนอเงื่อนไขทางการเงินว่า หากผู้เสนอโครงการยินดีรับค่าตอบแทนเป็นสินค้าหรือระบบบาร์เตอร์เทรดจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ เป็นการเปิดเผยแนวความคิดที่ล้าหลัง ไม่ทันสมัย เพราะ เป็นระบบโบราณที่ใช้ในยุคที่ยังไม่มีเงินตราเป็นระบบที่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน ขาดความยืดหยุ่น เป็นระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่จะนำไปทำบาร์เตอร์เทรด รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อซื้อสินค้าเกษตรจากเอกชนเพื่อนำไปแลกเปลี่ยน ทำให้มีต้นทุนการดำเนินการมากกว่าการซื้อขายด้วยเงิน
ดังนั้นการเสนอระบบบาร์เตอร์เทรดไม่น่าจะเป็นข้อเสนอที่ดีที่สุด เพราะการทำบาร์เตอร์เทรดมักจะทำระหว่างรัฐต่อรัฐ แต่บริษัทเอกชนที่ต้องการเข้ามาลงทุนไม่ได้ต้องการสินค้าเกษตร ประเทศที่ให้ข้อเสนอโครงการที่ดีที่สุด อาจไม่ต้องการสินค้าเกษตรของไทย ทำให้เหลือตัวเลือกเหลือน้อยลง
ผมเห็นว่ารัฐบาลควรทบทวนรูปแบบการประมูลเสียใหม่ โดยยึดหลักความโปร่งใส ความรอบคอบ และให้ทุกฝ่ายมีส่วนในการตรวจสอบการตัดสินใจของรัฐบาลมากขึ้น เพื่อโครงการเมกะโปรเจต์จะก่อประโยชน์ให้กับประชาชนและสังคมอย่างแท้จริง