สร้างสมานฉันท์ รัฐบาลต้องอดกลั้น
ldquo;สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตยrdquo;
...นโยบายเร่งด่วนเรื่องแรกที่ท่านนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ประกาศในคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี โดยรัฐบาลชุดนี้ต้องเร่งรีบดำเนินการ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันของประชาชนในชาติให้เกิดความสามัคคี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในการแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ และสร้างเสถียรภาพทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง สังคม และเศรษฐกิจ โดยมุ่งถึงประโยชน์สุขของประชาชนส่วนรวมเป็นสำคัญ ซึ่งจะเป็นรากฐานที่มั่นคงในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ความปรองดองของคนในชาติเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่การจะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น นับว่าเป็น ldquo;งานหนักrdquo; ของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้ ทั้งนี้เพราะโอกาสความขัดแย้ง แตกแยกทั้งทางความคิด คำพูด และการปฏิบัติต่อกัน ระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มต่าง ๆ ในสังคมมีความเป็นไปได้สูง ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการเห็นความปรองดองของคนในชาติเกิดขึ้น สิ่งควรดำเนินการ อาทิ
ยินดีรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เป็นความจริงที่ว่า ผู้นำประเทศหรือผู้นำองค์กรที่สามารถมีอิทธิพลเหนือกลุ่มบุคคลจำนวนมาก จะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถในการจูงใจและใช้อิทธิพลต่อผู้อื่น ต้องสามารถสร้างการยอมรับนับถือ เชื่อมั่นและไว้วางใจจนเป็นเหตุให้เกิดความร่วมมือดำเนินแผนงานได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ สิ่งหนึ่งที่ควรมีนั่นคือ การมีความอดกลั้น ไม่ด่วนตัดสินใจสิ่งใดบนพื้นฐานอารมณ์และความรู้สึกส่วนตัว ไม่หวั่นไหวต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง โดยยอมรับว่า ในฐานะผู้บริหารประเทศย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือหลบหนีจาก ldquo;เสียงและคำวิพากษ์วิจารณ์rdquo; ตัดสินใจตามหลักการและตอบโต้ด้วยเหตุผลที่มีการวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้ว
มุ่งผลประโยชน์เพื่อคนทั้งชาติ เป็นรัฐบาลของประชาชนทั้งประเทศ ไม่มุ่งตอบสนองเฉพาะกลุ่มคนที่สนับสนุนเท่านั้น แม้พรรคพลังประชาชนจะได้เสียงข้างมาก แต่ส่วนหนึ่งนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น รัฐบาลควรสร้างความสมานฉันท์ระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม ด้วยการออกนโยบายเพื่อประโยชน์ของทุกกลุ่มอย่างเสมอภาค การสื่อสารที่ให้เกียรติกับประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อให้ประชาชนทุกฝ่ายเกิดความรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ที่สำคัญ การบริหารประเทศต้องโปร่งใส ไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและสื่อมวลชน และสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ภายในประเทศ ปัญหาย่อมไม่เกิดขึ้น แต่หากรัฐบาลทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม อาจทำให้ชนชั้นกลางและสื่อมวลชนออกมาเรียกร้องขับไล่รัฐบาลก็เป็นได้
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ได้ขยายสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคให้กับประชาชนมากกว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 หลายประการ อาทิ การเข้าชื่อ 10,000 คนเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ การเข้าชื่อ 20,000 คนเพื่อขอยื่นถอดถอนนักการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง การยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฯลฯ รัฐบาลควรส่งเสริมให้ประชาชนนำประชาธิปไตยมาใช้ในภาคปฏิบัติมากขึ้น เช่น สภาผู้แทนราษฎรให้ความสนใจต่อร่างกฎหมายที่ประชาชนยื่นเข้ามา การเปิดโอกาสให้ประชาชนตรวจสอบตามระบบ การส่งเสริมการทำประชาพิจารณ์ การลงประชามติ เป็นต้น หากรัฐบาลทำเช่นนี้ จะช่วยทำให้เกิดความตื่นตัวของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง และส่งผลให้ประชาธิปไตยได้รับการฟื้นฟูให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
บริหารด้วยหลักธรรมาภิบาล หากรัฐบาลชุดนี้ต้องการความยั่งยืนควรเป็น รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลเพื่อแสดงความจริงใจ อาทิ การให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่รวบอำนาจ ยึดมั่นในกฎหมายและกรอบกติกา ไม่ใช้อำนาจเหนือกฎหมาย บริหารงานด้วยความเปิดเผยโปร่งใส สามารถตรวจสอบและมั่นใจว่ารักษาผลประโยชน์ของประเทศ รับฟังเสียงของฝ่ายต่าง ๆ ไม่เพียงเสียงข้างมาก แต่รับฟังเสียงส่วนน้อย แก้ปัญหาประเทศและปัญหาของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีสำนึกรับผิดชอบต่อประชาชน หากรัฐบาลบริหารอย่างมีธรรมาภิบาล ย่อมเชื่อมั่นได้ระดับหนึ่งว่า การต่อต้านจากกลุ่มที่ไม่พึงพอใจจะลดระดับลง และจะช่วยให้รัฐบาลดำรงอยู่ได้ครบวาระ
ความปรองดองและความสมานฉันท์ในสังคมจะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มต้นจากความจริงใจของรัฐบาล และตามด้วยการกระทำในเรื่องต่าง ๆ ที่จะเชื่อมโยงส่งผลให้ความรู้สึกของคนในชาติมีเอกภาพและยอมรับในการดำเนินตามวิถีประชาธิปไตย แม้มีความคิดที่แตกต่าง ไม่เห็นด้วยกันเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม
Tags:
เผยแพร่:
0
เมื่อ:
2008-02-27