หัวใจของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งคือ สอนควบคู่วิจัย

คำกล่าวที่อธิการบดีเฟาสต์ ให้ไว้กับ The Harvard College Fund ว่า หัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดไปข้างหน้าคือ การเรียนการสอน นับว่ามีความน่าสนใจ ซึ่งจะขอสะท้อนคิดมาในบทความดังนี้
แม้ว่าปัจจุบันความเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย ทำให้คนส่วนหนึ่งมองว่า มหาวิทยาลัยจะมุ่งเน้นการทำวิจัยเป็นหลัก หากแต่สิ่งสำคัญที่อธิการบดีเฟาสต์กล่าวย้ำคือ แม้ฮาร์วาร์ดจะเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย แต่การสอนก็ยังเป็นหัวใจสำคัญที่ฮาร์วาร์ดยังคงต้องรักษามาตรฐานต่อไป นั้นหมายความว่า มาตรฐานของฮาร์วาร์ดคือ การส่งเสริมคุณภาพการวิจัยควบคู่การพัฒนาการเรียนการสอนที่สอดรับกัน
อธิการบดีเฟาสต์ได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า มหาวิทยาลัยมีพันธะผูกพันพิเศษต่อสังคม นั่นคือ การเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ของคนในสังคม เป็นส่วนหนึ่งในการก่อร่างอนาคต และภาพสังคมที่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้นผ่านการบ่มเพาะและสร้างผู้เรียนที่มีคุณภาพออกไปรับใช้สังคม
ดังนั้นแม้ว่ามหาวิทยาลัยจะปรับเปลี่ยนบทบาทไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยมากขึ้น หากแต่ตัวแบบที่ดีของการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยคือ การยังคงรักษาหน้าที่ของมหาวิทยาลัยที่ทำหน้าที่ทั้งการวิจัยเพื่อแสวงหาความรู้และการสอนที่ทุกคนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทุกคนสามารถเป็นได้ทั้งครูและผู้เรียน นำพาผู้เรียนไปสู่พรมแดนความรู้ อันเป็นพื้นฐานของการต่อยอดองค์ความรู้ และนำองค์ความรู้ที่ได้มาสร้างสรรค์สังคมต่อไป
การเรียนการสอนที่ฮาร์วาร์ด จึงเป็นไปในทิศทางที่สอนให้ผู้เรียนรู้จักค้นคว้า ฝึกฝนทักษะการคิด การทำวิจัยในทุกวิชา และทุกระดับ โดยอาจารย์ใช้การวิจัยแบบกรณีศึกษาเป็นตัวแบบในการสอน และเน้นให้นักศึกษาที่ทำวิจัยมีผลงานวิจัยที่เป็นต้นแบบ เป็นนวัตกรรม การเปิดโอกาสให้นักศึกษาทำวิจัยเขียนตำราวิชาการร่วมกับผู้สอน
ในขณะที่อาจารย์ผู้สอนเองยังคงต้องมีผลงานวิจัยออกมาเสมอ เนื่องจากมีแรงกดดันจากการจ้างผู้สอนหมุนเวียนแต่ละปีจำนวนมาก การขับเคี่ยวกันในการสร้างผลงานวิจัยเหล่านี้ จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่า ทั้งนักศึกษาและผู้สอน จะตกผลึกความคิด จนมีงานวิจัยที่มีคุณค่าสูงออกมาอยู่เสมอ และยังมีสิ่งสำคัญที่ไม่เคยขาดหายไปจากการเรียนการสอนของฮาร์วาร์ดคือ การพยายาหาหนทาง วิธีการที่ดีที่สุดที่ทำให้การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยนำพาให้ผู้เรียนรู้จักความจริง
สะท้อนคิดสู่มหาวิทยาลัยของไทยที่กำลังก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย และผลักดันให้คณาจารย์นักศึกษาเห็นคุณค่าการทำวิจัย เพื่อนำองค์ความรู้ที่ได้ต่อยอดและพัฒนาสังคม ซึ่งนับว่าเป็นแนวทางที่ดีในการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ไม่สามารถละเลยได้คือ การพัฒนาคุณภาพการวิจัยควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน เพื่อให้เกิดพัฒนาการและต่อยอด สั่งสมแนวคิด ปรัชญามาอย่างต่อเนื่อง จนมีคุณค่ากับสังคมสูง
การเพิ่มคุณภาพของงานวิจัย และการทำให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ อาจเริ่มจากมหาวิทยาลัยต้องเป็นผู้ริเริ่มนำเสนองานวิจัยที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อตลาดหรือแหล่งทุนต่าง ๆ โดยจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้อาจารย์ทำหน้าที่เสนอความคิดใหม่ ๆ และประโยชน์จากงานวิจัยที่น่าสนใจของตนต่อสังคม ภาคเอกชนผู้ให้การสนับสนุน
การเรียนการสอนที่อยู่บนฐานการวิจัย เพื่อสนับสนุนการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยด้วย เช่น การสอนแบบให้ผู้เรียนสืบค้น แสวงหา ถกเถียงทางความรู้ นำเสนอผลงานการศึกษาวิจัย กำหนดทิศทางและหัวข้อวิจัยภายในสาขาที่เรียน ฝึกประสบการณ์ด้านการวิจัย มีกิจกรรมแลกเปลี่ยนหรือเปิดโลกทัศน์ทางการวิจัยร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิภายในและภายนอก กระตุ้นบรรยากาศการวิจัยและนำเสนอผลงานในเวทีที่มีการวิพากษ์แนวคิด เป็นต้น
แม้ว่าสภาพการแข่งขันในธุรกิจการศึกษาจะมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวให้สามารถแข่งขันและอยู่รอดได้ หากแต่มหาวิทยาลัยต้องไม่ลืมแก่นสารที่แท้จริงของมหาวิทยาลัยคือ การสอนและการวิจัย ที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป ซึ่งเป็นการสะท้อนพันธะผูกพันที่มหาวิทยาลัยพึงมีต่อสังคม
admin
เผยแพร่: 
สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์
เมื่อ: 
2008-01-18