พัฒนาความเป็นเมือง...พัฒนาประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ

* ที่มาของภาพ- http://www.dekkansai.com/webboard//index.php?showtopic=2713

สถานการณ์การแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก เพราะถูกประกบด้วยประเทศที่พัฒนามากกว่า เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ เป็นต้น และประเทศกำลังพัฒนาที่จะก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก คือ จีน อินเดีย และเวียดนาม

การนำพาประเทศออกจากภาวะที่ถูกขนาบดังกล่าว ได้มีการเสนอแนวทางต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง อาทิ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคการผลิตที่มีอยู่ การปรับโครงสร้างไปสู่เศรษฐกิจภาคบริการหรือภาคการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การยกระดับฝีมือแรงงาน ฯลฯ

วิธีการหรือตัวแปรหนึ่งที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไปได้ คือ การสร้างความเป็นเมืองให้เกิดขึ้น (urbanization) เนื่องจากอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งในการพัฒนาประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ คือ ประเทศไทยยังมีอัตราการขยายตัวของความเป็นเมืองต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย

ความหมายและอาณาเขตของเมือง

ในทางกฎหมาย เมือง หมายถึง การแบ่งส่วนทางราชการเพื่อสะดวกแก่การปกครอง หลายประเทศนิยามความหมายของเมืองตามกฎหมายไว้ต่างกัน ประเทศไทยแบ่งประชากรไทยว่าอยู่ในเมืองหรือในชนบท โดยใช้อาณาเขตของเขตเทศบาลเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน ซึ่งหลักเกณฑ์หนึ่งที่ใช้ในการจำแนกว่าพื้นที่หนึ่ง ๆ เป็นเมืองหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของประชากรในบริเวณนั้น โดยอาณาเขตของเมือง คือ พื้นที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงกว่าพื้นที่นอกเขตเมือง

สำหรับความหมายของเมืองในทางเศรษฐศาสตร์ อาจพิจารณาได้จากนิยามของกระบวนการที่ก่อให้เกิดการรวมตัวเป็นเมือง ทั้งนี้การรวมตัวเป็นเมือง คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อระบบเศรษฐกิจชนบทหนึ่ง ๆ ซึ่งมีลักษณะการกระจายตัวของประชากรที่เบาบางและค่อนข้างสม่ำเสมอทั่วพื้นที่ มีการใช้แรงงานอย่างเข้มข้นและค่อนข้างเป็นอิสระจากกัน เปลี่ยนเป็นระบบเศรษฐกิจเมืองที่มีลักษณะพื้นฐานตรงกันข้ามกัน กล่าวคือ มีการตั้งถิ่นฐานที่หนาแน่น ชำนาญงานเฉพาะอย่างในการผลิตสินค้าและบริการ พึ่งพาอาศัยระหว่างกันในหมู่ครัวเรือน หน่วยธุรกิจ และรัฐบาล และมีระดับของเทคโนโลยี นวัตกรรม และการเป็นผู้ประกอบการอยู่สูง

เหตุผลและประโยชน์จากรวมตัวเป็นเมือง

เหตุของการรวมตัวเป็นเมืองเกิดจากปัจจัยสองประการ ประการแรก คือ เหตุผลทางด้านอุปทาน หรือการรวมตัวเป็นเมืองที่เกิดจากแรงผลักด้านการผลิต ซึ่งเกิดจากส่วนผสมของการประหยัดจากขนาด (economy of scale)ความได้เปรียบทางด้านต้นทุน และความชำนาญเฉพาะอย่างทางการผลิต

การอยู่รวมกันของผู้ผลิตอย่างหนาแน่นจะทำให้เกิดการประหยัดจากขนาด เนื่องจากการผลิตและการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่มากขึ้น จะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง และการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในเมืองจะมีความคุ้มค่า ทำให้บริการสาธารณูปโภคในเมืองมีความเพียงพอและมีคุณภาพสูง

ส่วนความได้เปรียบทางด้านต้นทุนเกิดจากหลายปัจจัย อาทิ การประหยัดจากขนาด การขนส่งมีต้นทุนต่ำลงเพราะมีระยะทางการขนส่งสินค้าและวัตถุดิบที่สั้นลง ความสามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตมากขึ้นเพราะอุตสาหกรรมต้นน้ำและปลายน้ำมาอยู่รวมกัน รวมทั้งได้ประโยชน์จากการเข้ามาตั้งของธุรกิจการศึกษา ซึ่งผลิตกำลังแรงงานที่ได้รับการศึกษาดีและมีความชำนาญสูง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ผลิต

ขณะที่ความชำนาญเฉพาะอย่างเกิดขึ้นเมื่อผู้ผลิตมารวมตัวกันหนาแน่น จะทำให้เกิดการแข่งขันและแบ่งงานกันทำมากขึ้น ผู้ผลิตแต่ละรายจะไม่ผลิตสินค้าและบริการที่ตนทำได้ไม่มีประสิทธิภาพ ผู้ผลิตที่มีความชำนาญเฉพาะอย่างในการผลิต จะสามารถได้ประโยชน์มากขึ้นจากการใช้ทุน แรงงาน และความรู้เฉพาะอย่าง

ประการต่อมา คือ เหตุผลทางด้านอุปสงค์หรือการรวมตัวเป็นเมืองที่เริ่มจากแรงผลักด้านการบริโภค เนื่องจากการขยายตัวของจำนวนประชากรและรายได้ของชุมชนหนึ่ง ๆ จะทำให้อุปสงค์ในท้องถิ่นเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระตุ้นให้เกิดการผลิตและการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น ในที่สุด หากอุปสงค์ในท้องถิ่นมีจำนวนมากเพียงพอจะทำให้เกิดการผลิตในท้องถิ่นเพื่อทดแทนการนำเข้าสินค้าจากพื้นที่อื่น

แรงผลักด้านการผลิตและแรงผลักด้านการบริโภคจะสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพราะการรวมตัวของผู้ผลิตในพื้นที่หนึ่ง ๆ จะดึงดูดกำลังแรงงานให้เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยในพื้นที่นั้นมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่หนึ่ง ๆ จะทำให้เกิดอุปสงค์ต่อสินค้าและบริการ ซึ่งจะดึงดูดการลงทุนในพื้นที่นั้นมากขึ้น เมื่อสถานประกอบการมีความต้องการแรงงานมากขึ้น สถาบันการศึกษาจะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อผลิตบุคลากรตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการ ซึ่งจะดึงดูดคนให้เข้ามาทำการศึกษาและจบออกมาประกอบอาชีพในพื้นที่นั้น ทำให้เมืองและเศรษฐกิจยิ่งขยายตัวมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้การพัฒนาพื้นที่เป็นไปโดยธรรมชาติ จะก่อให้เกิดการพัฒนาแบบกระจุกตัว กล่าวคือ เมืองใหญ่จะยิ่งขยายตัวใหญ่ขึ้น ขณะที่ชนบทยังคงล้าหลังอยู่ต่อไป ดังนั้นในการพัฒนาความเป็นเมือง ภาครัฐต้องส่งเสริมการกระจายอำนาจและความเจริญลงไปสู่ท้องถิ่นให้มากขึ้น เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนให้เกิดความเป็นเมืองและการผลิต การพัฒนาสถาบันการศึกษาในชนบทให้มีคุณภาพ การกระจายบุคลากรที่มีคุณภาพของภาครัฐไปทำงานในชนบทโดยไม่ถือว่าเป็นการลงโทษ เป็นต้น

ถึงแม้ว่าการส่งเสริมความเป็นเมืองต้องแลกกันระหว่างผลกระทบด้านบวกและด้านลบ แต่หากการบริหารจัดการเมืองมีประสิทธิภาพ เช่น มีการวางผังเมืองที่ดี มีมาตรการควบคุมมลพิษที่มีประสิทธิภาพ มีการจัดการอาชญากรรมที่เข้มงวด และมีการจัดการระบบจราจรที่ดี เป็นต้น ผลทางด้านบวกน่าจะมากกว่า และสามารถควบคุมผลทางด้านลบได้
* นำมาจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันพุธที่23 มกราคม 2551

แสดงความคิดเห็น

admin
เผยแพร่: 
0
เมื่อ: 
2008-01-24