เงินสร้างรถไฟฟ้า ควรมาจากไหน?

แนวคิดที่กระทรวงพลังงานเสนอในการสร้างรถไฟฟ้า คือ การนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาใช้ในการก่อสร้าง เพราะหลังจากเดือนมีนาคม 2551 กองทุนน้ำมันจะหมดภาระชำระหนี้จากการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันช่วงที่ผ่านมา และมีความเป็นไปได้ว่าธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือ เจบิค อาจไม่ยอมปล่อยกู้ให้กับประเทศไทย ด้วยเหตุผลความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย

กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ หากรัฐบาลไม่ลดการเก็บเงินเข้ากองทุนหลังจากหมดภาระหนี้แล้ว จะทำให้มีรายได้เข้ามาในกองทุนถึง 40,000-50,000 ล้านบาทต่อปี หากพิจารณาในแง่ของตัวเลขเงินจากกองทุนน้ำมันฯ นับว่ามีความเป็นไปได้ในการเป็นแหล่งทุนสนับสนุนโครงการรถไฟฟ้า

ถึงแม้ว่ากระทรวงการคลังได้ปฏิเสธแนวคิดของกระทรวงพลังงานไปแล้ว แต่คำถามที่น่าขบคิดคือ การใช้เงินกองทุนน้ำมันเพื่อสร้างรถไฟฟ้าเหมาะสมหรือไม่? และเงินลงทุนในรถไฟฟ้าควรมาจากแหล่งใด?

สร้างรถไฟฟ้าด้วยกองทุนน้ำมันเหมาะสมหรือไม่?

แน่นอนว่าโครงการรถไฟฟ้าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยลดปัญหาจราจรและปัญหามลพิษทางอากาศในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องจากผู้ใช้รถยนต์จำนวนหนึ่งอาจจะหันมาใช้บริการรถไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม หากนำเงินจากกองทุนน้ำมันมาสร้างรถไฟฟ้าอาจจะไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่ใช้น้ำมันทุกคน เพราะผู้ใช้น้ำมันที่ถูกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ไม่ได้มีเฉพาะผู้ใช้รถยนต์ในกรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้น แต่รวมถึงผู้ใช้รถยนต์ทั้งประเทศ และผู้ใช้น้ำมันเพื่อประโยชน์ด้านอื่นที่ไม่ใช่กิจกรรมการขนส่ง ซึ่งผู้ใช้น้ำมันกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้รถติดและก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศในกรุงเทพฯและปริมณฑล

นอกจากนี้ การนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปใช้สร้างรถไฟฟ้าอาจไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของกองทุนนี้ กองทุนน้ำมันฯ ตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างเสถียรภาพด้านราคาน้ำมัน ไม่ให้เกิดความผันผวนด้านราคาตามการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาดโลก ด้วยเหตุที่ประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันเข้ามาใช้ในประเทศเกือบทั้งหมด กองทุนน้ำมันจึงเป็นตัวดูดซับผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านราคาจากภายนอกประเทศไม่ให้รุนแรงจนเกิดความไร้เสถียรภาพ มิใช่เพื่อการนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งมวลชน

เงินลงทุนรถไฟฟ้าควรมาจากแหล่งใด?

ผมเห็นว่า การกำหนดที่มาของแหล่งเงินทุนในการสร้างรถไฟฟ้าอาจใช้หลักการที่ว่า ใครได้ประโยชน์ ผู้นั้นเป็นคนจ่าย เมื่อพิจารณาด้วยหลักการนี้ งบก่อสร้างส่วนหนึ่งควรมาจากงบประมาณแผ่นดิน หรือหมายความว่า ประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้จ่ายด้วยส่วนหนึ่ง เพราะการที่ระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯมีประสิทธิภาพจะส่งผลทำให้การสูญเสียทางเศรษฐกิจลดลง และทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมขยายตัวขึ้น

งบก่อสร้างอีกส่วนหนึ่งอาจจะมาจากรายได้ในอนาคต จากการเก็บค่าโดยสารและการหารายได้จากทรัพย์สินของโครงการรถไฟฟ้า เช่น ค่าเช่าพื้นที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้า ค่าเช่าพื้นที่เพื่อติดป้ายโฆษณา เป็นต้น เนื่องจากผู้โดยสารได้รับประโยชน์จากการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า และผู้ประกอบการได้ประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สินของโครงการรถไฟฟ้า

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ควรเป็นผู้จ่ายสำหรับก่อสร้างรถไฟฟ้าด้วยส่วนหนึ่ง เพราะเมื่อมีรถไฟฟ้า ผู้ใช้รถยนต์จะได้ประโยชน์จากการจราจรที่คล่องตัวมากขึ้น แต่การเก็บเงินจากผู้ใช้รถยนต์ไม่ควรนำเงินมาจากกองทุนน้ำมันโดยตรง แต่อาจเก็บจากค่าธรรมเนียมการขับขี่ยานยนต์เข้าพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ ค่าธรรมเนียมการต่อทะเบียนรถยนต์ในกรุงเทพฯ หรือเพิ่มภาษีสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในโครงสร้างราคาน้ำมัน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังสามารถจัดเก็บรายได้มากขึ้นจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของทรัพย์สินและที่ดินในบริเวณที่รถไฟฟ้าตัดผ่าน โดยการเก็บภาษีในส่วนของราคาที่ดินและอาคารที่เพิ่มขึ้น (Capital Gain tax) เนื่องจากเจ้าของที่ดินใกล้บริเวณที่รถไฟฟ้าตัดผ่านจะได้รับประโยชน์จากมูลที่ดินที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่สามารถหาแหล่งเงินกู้จากแหล่งอื่นได้เพียงพอ การกู้เงินจากกองทุนน้ำมันนับเป็นช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจ ในการระดมทุนมาใช้ในการก่อสร้างรถไฟฟ้า เพราะถึงอย่างไร กองทุนน้ำมันจะต้องมีเงินสำรองในกองทุนระดับหนึ่งเพื่อใช้ในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน และผู้บริหารกองทุนน้ำมันจะต้องบริหารจัดการกับเงินในกองทุนให้เกิดผลตอบแทนอยู่แล้ว

การที่กระทรวงการคลังปฏิเสธการใช้เงินจากกองทุนน้ำมันก่อสร้างรถไฟฟ้าตามแนวคิดของกระทรวงพลังงาน แม้ว่าเป็นหลักการที่ถูกต้อง แต่กระนั้นไม่ได้หมายความว่าผู้ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการขับขี่ยวดยานไม่ควรเป็นผู้จ่ายสำหรับการก่อสร้างรถไฟฟ้า และไม่ได้หมายความว่า เงินกองทุนน้ำมันจะไม่สามารถเป็นแหล่งเงินทุนในการก่อสร้างรถไฟฟ้าได้เลย
admin
เผยแพร่: 
สยามธุรกิจ
เมื่อ: 
2007-07-11