โอกาสของไทย ในวิกฤติอาหารโลก

ที่มาของภาพ http://www.javno.com/slike/slike_3/r1/g2008/m04/y168704661918141.jpg
โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติอาหารครั้งใหญ่ ในสภาวะที่สินค้าอาหารมีราคาขยับขึ้นสูงเนื่องจากความขาดแคลนด้านอุปทานของอาหาร อันเกิดจากสาเหตุสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ราคาน้ำมันโลกพุ่งตัวสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการผลิตพลังงานทดแทนด้วยการปลูกพืชให้น้ำมันตามกระแสพลังงานทางเลือกอย่างไบโอดีเซล ซึ่งส่งผลกระทบให้พื้นที่ในการเพาะปลูกผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นอาหารโดยตรงลดน้อยลงโดยสถาบันวิจัยนโยบายอาหารนานาชาติ ระบุว่า พืชพลังงานมีส่วนถึงร้อยละ 30 ที่ทำให้ราคาอาหารโลกแพงขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ Jean Ziegler ผู้ตรวจการสหประชาชาติด้านสิทธิทางอาหาร ได้ออกมากล่าวว่า ldquo;การเปลี่ยนที่ดินเกษตรกรรม เพื่อนำไปปลูกพืชที่จะเอาไปเผาสำหรับน้ำมัน ถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เสนอให้ระงับการผลิตพืชน้ำมันเพื่อการค้าเป็นเวลา 5 ปีrdquo;
นอกจากนี้ สภาพอากาศที่แปรปรวนยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ส่งผลให้อาหารมีราคาแพงมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดภัยพิบัติในหลายประเทศที่เป็นแหล่งเพาะปลูกและผลิตการเกษตรที่สำคัญของโลก อันได้แก่ การเกิดน้ำท่วมในประเทศเวียดนาม การเกิดพายุหิมะในประเทศจีน และประเทศในเอเชียใต้ ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวรายสำคัญของโลก ภัยพิบัติเหล่านี้ได้ทำให้บางประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงต้องระงับการส่งออกข้าวเพื่อบรรเทาปัญหาอาหารมีราคาแพง และ ขาดแคลน เช่น อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน เป็นต้น
สถานการณ์ความเดือดร้อนเหล่านี้ได้กลายเป็นวาระเร่งด่วนที่องค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ต่างลุกขึ้นมาแสดงบทบาทในเรื่องวิกฤติอาหารโลกอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติได้เปิดการประชุมที่สำนักงานในกรุงโรม ประเทศอิตาลี โดยกำหนดให้พิจารณาในประเด็นเรื่อง 1) การควบคุมราคา การยกเลิกกำแพงภาษี และยกเลิกการห้ามส่งออกสินค้าอาหาร 2) การอุดหนุนพืชพลังงาน 3) การช่วยชาวนาในประเทศยากจน 4) ผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อการเกษตร ในขณะที่ นายบัน คีมุน เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้นานาประเทศระดมตั้งมาตรการรับมือกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
วิกฤติอาหารของโลกเป็นโอกาสของประเทศไทย ทั้งนี้เพราะ ปัจจุบัน ไทยเป็นประเทศที่ผลิตข้าวมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วน 31.40% ของการส่งออกข้าวในตลาดโลก และหากจะพิจารณาที่อุปทานผลผลิตข้าวนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ อย่างแท้จริง เพราะประเทศไทยมีปริมาณอุปทานผลผลิตข้าวประมาณ 30 ล้านตันข้าวเปลือก (ประมาณ 20 ล้านตันข้าวสาร) แต่มีการใช้ข้าวภายในประเทศเพียง 10-11 ล้านตันข้าวสารเท่านั้น ดังนั้น ประเทศไทยจะมีปริมาณข้าวที่เหลือเพื่อส่งออกถึง 9 ล้านตันข้าวสาร ในขณะที่ เวียดนามนั้น มีปริมาณข้าวที่สามารถส่งออกได้เพียง 4 ล้านตันข้าวสารเท่านั้น
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศไทยควรฉวยโอกาสสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรมากขึ้น จากสถานการณ์ราคาข้าวที่เพิ่มขึ้น และความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตความมั่นคงทางอาหาร โดยการจัดทีมงานออกไปเจรจากับรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ เพื่อทำสัญญาซื้อขายข้าวในอนาคต จากนั้นจึงส่งสัญญาณในเกษตรกรเร่งผลิตข้าว รวมทั้งจัดหาพื้นที่รกร้างเพื่อทำการผลิตข้าว โดยเฉพาะพื้นที่ราชพัสดุที่มีศักยภาพ (ที่ดินราชพัสดุที่รกร้างมีอยู่ถึงประมาณ 9 ล้านไร่) มาให้เกษตรกรเช่าในการปลูกข้าว การผลิตและจัดหาเมล็ดพันธุ์และปุ๋ยที่มีราคาต่ำให้เพียงพอกับความต้องการ การจัดหาเงินทุนให้ธนาคารของรัฐเพื่อปล่อยกู้ให้กับเกษตรกร ตลอดจนการประกาศนโยบายประกันราคารับซื้อข้าวเปลือก และการระบายข้าวเก่าในสต็อกของรัฐบาลออกไปจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้รัฐบาลมีเงินหมุนเวียนเพียงพอสำหรับการดำเนินการในโครงการนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นรัฐบาลจะต้องมีการประเมินและการควบคุมมิให้ปริมาณการผลิตข้าวสูงเกินกว่าความต้องการ เพื่อป้องกันปัญหาข้าวล้นตลาด
นอกจากนี้ อาจจะกล่าวได้ว่า วิกฤติข้าวโลกในครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ดีสำหรับรัฐบาลไทย ที่จะหันกลับมาทบทวนมาตรการต่าง ๆ ในการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรไทย โดยเฉพาะชาวนา ว่ามีประสิทธิภาพเพียงพอแล้วหรือไม่กับยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ นอกจากนี้ การช่วยเหลือให้เกษตรกรไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ภายใต้ระบบต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพก็จะช่วยเอื้อให้พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมควรกับการที่พวกเขาเป็นผู้เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการสร้างสรรค์ไทยให้เป็นแหล่งผลิตอาหารของโลกได้ต่อไป
* นำมาจากหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2551
Tags:
เผยแพร่:
0
เมื่อ:
2008-06-22