เคล็ดที่ไม่ลับ สู่การเป็นครูนักวิจัย

พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฯ พ.ศ. 2542 มาตรา 24 (5) กำหนดให้ผู้สอนใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน และมาตรา 30 กำหนดให้สถานศึกษาส่งเสริมให้ผู้สอน สามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน กล่าวโดยสรุป พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มีความมุ่งหวังให้ครูทำวิจัยควบคู่ไปกับการสอน

ldquo;การทำวิจัยrdquo; ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อครูและต่อผู้เรียน ประโยชน์ต่อครู คือ ช่วยพัฒนาการสอนให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ ๆ และบังคับให้ครูต้องใกล้ชิดกับข้อมูลที่ทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ ประโยชน์ต่อผู้เรียน คือ ได้เรียนรู้เนื้อหาสาระใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับปัญหาหรือบริบทของสังคมในปัจจุบัน และสนุกกับการเรียน เพราะมีเทคนิคการสอนใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับผู้เรียน

บทความนี้ มิได้มุ่งเสนอ ldquo;ระเบียบวิธีวิจัยrdquo; เนื่องจากมีการฝึกอบรม และมีหนังสือที่เกี่ยวข้องจำนวนมากอยู่แล้ว แต่เป็นการเสนอแนวทางง่าย ๆ ของการเป็น ldquo;ครูนักวิจัยrdquo; ดังนี้

ช่างสังเกต ช่างสงสัย และช่างคิด
พื้นฐานสำคัญในการพัฒนาตนสู่การเป็น ldquo;นักวิจัยrdquo; คือ ไม่พอใจกับความคลุมเครือ กำกวม ข้ออ้างแบบลอย ๆ แต่ต้องการเข้าใจสิ่งต่าง ๆ อย่างชัดเจน รวมถึงเป็นนักตั้งคำถาม ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นทันทีโดยไม่ได้สืบค้นความจริง อาจทำได้โดยฝึกตั้งคำถามเชิงวิเคราะห์ในเรื่องต่าง ๆ เช่น ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อใด เพราะเหตุใด หาจุดผิดสังเกต และความสัมพันธ์เชิงเหตุผล โดยอาศัยการคิด ซึ่งผมแยกย่อยออกเป็นการคิด 10 มิติ ได้แก่ นำเอาการคิดเชิงวิพากษ์ คิดเชิงวิเคราะห์ คิดเชิงมโนทัศน์ และคิดเชิงเปรียบเทียบมาจับประเด็น วิเคราะห์ และหาสาเหตุที่ลึกที่สุด นำเอาการคิดเชิงกลยุทธ์ คิดเชิงวิพากษ์ คิดเชิงเปรียบเทียบ คิดเชิงสังเคราะห์ คิดเชิงบูรณาการ และคิดเชิงมโนทัศน์มาใช้อ้างเหตุผล นำเอาการคิดเชิงสร้างสรรค์ คิดเชิงอนาคต และคิดเชิงประยุกต์มาใช้ในการเรียนต่อยอดทางความคิด ท้ายสุดนำเอาการคิดเชิงประยุกต์ คิดเชิงสังเคราะห์ คิดเชิงบูรณาการและคิดเชิงมโนทัศน์ มาใช้ในการสรุปและแปลผล

วิจัยในประเด็นที่ตนถนัดและสนใจ
การที่ครูรู้ว่าตนเองถนัดและสนใจในเรื่องใด จะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ครูทำวิจัยได้สำเร็จ เพราะมีความเชี่ยวชาญ-ชำนาญ และมีความสนใจเป็นฐาน ทำให้มีความสุขกับการทำวิจัย ยอมทุ่มเททำงานอย่างหนักแม้มีอุปสรรคโดยไม่เลิกราไปโดยง่าย ดังนั้น ก่อนทำวิจัยครูควรค้นหาความสนใจและความถนัดของตนเองก่อนตัดสินใจทำวิจัยเรื่องใด ๆ

เคารพการวิจัยของผู้อื่น
ผมสังเกตว่ามีงานวิจัยเกี่ยวกับการเรียนการสอนจำนวนหนึ่ง นำเอาแบบการวิจัยของโครงการหนึ่งมาใช้กับอีกโครงการหนึ่ง แทบจะเป็นการลอกแบบงานวิจัย ต่างกันเพียงแค่ปรับเปลี่ยนหัวข้อ กลุ่มตัวอย่าง หรือสถานวิจัยเท่านั้นซึ่งไม่เกิดความก้าวหน้าในวงการวิจัย ทั้งยังไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เสียทั้งเวลาและทรัพยากร เพราะไม่จำเป็นต้องทำวิจัยเรื่องนั้นอีก แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ ดังนั้น การออกแบบการวิจัย ครูควรออกแบบการวิจัยให้เจาะจงกับสิ่งที่ต้องการศึกษา โดยสามารถสำรวจข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น และอ้างอิงงานผลการวิจัยให้ถูกต้องตามหลักสากล จากนั้นจึงสามารถออกแบบงานวิจัยที่เป็นของตน

เข้าถึงพรมแดนความรู้
การวิจัยไม่ควรนำข้อมูลเดิม ๆ มาพิสูจน์ หรือยืนยันซ้ำไปมาได้ แต่ต้องค้นคว้าเพิ่มเติม โดยขยายฐานข้อมูล ความรู้ ความคิดให้กว้างขวาง ตามทันความรู้ใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ต่อยอดการวิจัย นำมาเขี่ยความคิด โดยการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นงานวิจัยใหม่ ๆ จากวารสารในประเทศและจากต่างประเทศ รวมทั้งเข้าร่วมสัมมนาหรือประชุมวิชาการด้านการศึกษา และสืบค้นข้อมูลด้านการศึกษาจากเว็บไซต์การศึกษาที่มีอยู่ทั่วโลก

เข้าถึงแหล่งข้อมูลที่มีคุณภาพ ข้อมูล-ความรู้ที่มีคุณภาพ หมายถึง ข้อมูล-ความรู้ที่มีการใช้หลักวิชาการในการจัดทำขึ้น โดยใช้หลักความเป็นเหตุเป็นผล เพราะมีผลต่อความน่าเชื่อถือของการวิจัย การเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ที่มีคุณภาพ คือ การเข้าถึงหนังสือ วารสารวิชาการของไทยและต่างประเทศ ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ แหล่งข้อมูลจากสถาบันวิชาการหรือหน่วยวิจัยต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วประเทศ การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้ง ควรตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง เพื่อยืนยันว่าให้ข้อมูลตรงกัน ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่มีประเด็นใดขาดตกบกพร่อง

บริหารโครงการวิจัย
การบริหารโครงการวิจัย คือ ความสามารถในการจัดสรรเวลาและทรัพยากรในช่วงเวลาต่าง ๆ ในการทำวิจัยได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะครูซึ่งมีภารกิจด้านการสอนมาก ควรให้ความสำคัญกับการบริหารโครงงานวิจัย ไม่ว่าจะเป็น การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการฯ การวางแผนงานโครงการฯการพิจารณาทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง การแสวงหาความร่วมมือ การบริหารความยืดหยุ่นของโครงการการติดตามและประเมินผลโครงการวิจัย

วิจัยร่วมกับผู้อื่น เมื่อครูได้ผ่านการฝึกฝนทักษะการวิจัยผ่านการทำวิจัยคนเดียวจนเชี่ยวชาญถึงระดับหนึ่งแล้ว หากสนใจพัฒนาความสามารถด้านการวิจัยในระดับที่สูงขึ้น ควรขยายขอบเขตโครงการวิจัยให้กว้างขึ้น โดยทำเป็นโครงการวิจัยในระดับโรงเรียน ระดับชุมชน หรือระดับเขตพื้นที่ฯ อาจรวมกลุ่มครูและผู้ที่สนใจทำวิจัยเรื่องเดียวกันมาเป็นทีมวิจัย อันประกอบด้วยบุคคลที่มีความถนัด ความเชี่ยวชาญหรือมีจุดเด่นต่างกัน เพราะความแตกต่างจะช่วยอุดช่องโหว่การวิจัย

ท้ายสุดนี้ผมอยากฝากข้อคิดไว้ว่า ครูจะพัฒนาตนให้เป็นนักวิจัยได้นั้น สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนหรือศึกษาในหลักสูตรวิจัยต่าง ๆ เท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับการให้ความสำคัญ ความมุ่งมั่น และลงมือทำวิจัยอย่างจริงจัง
admin
เผยแพร่: 
ปริทัศน์การศึกษาไทย
เมื่อ: 
2007-09-01