งบปี 49 งบจอมเสี่ยง ?ฝัน-แอบ-ฮั้ว? ระวัง ?รีดภาษี-ซ่อนหนี้-โกงกิน?
การอภิปรายในวาระการพิจารณารับหลักการของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2549 เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2548 ผมวิพากษ์การจัดงบฯว่า เป็น lsquo;งบจอมเสี่ยงrsquo; เพราะนำพาความเสี่ยง 3 ด้าน
งบปี 49 เป็น lsquo;งบจอมฝันrsquo; ฝันว่าเศรษฐกิจปี 48 จะขยายตัว 4.5-5.5% ทั้งที่แนวโน้มน่าจะโตแค่ 4% เท่านั้น เพราะสมมติฐานการจัดเก็บรายได้ไม่สมจริง ประการแรกที่กำหนดว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2548 ที่ 44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไม่จริง เพราะเฉลี่ย 5 เดือนแรกอยู่ที่ 43.2 ดอลลาร์ฯ แล้ว และครึ่งปีหลังราคาจะสูงขึ้นทุกปี ราคาเฉลี่ยน่าจะเป็น 50-55 ดอลลาร์ฯ ส่วนสมมติฐานส่งออกขยายตัว 18% เป็นไปได้ยาก เพราะ 4 เดือนแรก ส่งออกขยาย 10.9% หากจะให้ถึง 18% อีก 8 เดือนที่เหลือต้องขยายถึง 27.78%rdquo;
ส่วนสมมติฐานที่ระบุว่า นักท่องเที่ยวปี 48 ต้องเพิ่มขึ้นเป็น 12.57 ล้านคน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะนักท่องเที่ยวเข้าไทย 2 ไตรมาสแรก จะมีเพียง 5.29 ล้านคน ดังนั้น 2 ไตรมาสสุดท้ายต้องมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 18.57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนสมมติฐานสุดท้าย คือการเร่งเบิกจ่ายงบเพิ่มเติมปี 48 และงบฯปี 2546ndash;2547 ที่ยังค้างอยู่ไม่น้อยกว่า 80% เป็นไปได้ค่อนข้างยาก เพราะงบดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นงบลงทุน และงบลงทุนในปีงบประมาณ 2548 ถึงปัจจุบัน มีการเบิกจ่ายเพียง 48.92% เท่านั้น การฝันว่าเศรษฐกิจจะโต เสี่ยงว่าจะเก็บรายได้ไม่ถึงเป้า ทำให้ประชาชนถูกขูดรีดภาษีมากขึ้น 9.3 หมื่นล้านบาท
ลักษณะประการต่อมาว่าเป็น lsquo;งบจอมแอบrsquo; โดยให้เหตุผลว่า การจัดทำงบประมาณนำพาความเสี่ยงในการก่อหนี้สาธารณะและภาระผูกพันมากขึ้น เพราะรัฐบาลได้พัฒนาวิธีการซ่อนหนี้และภาระผูกพันมากขึ้น อาทิ การให้ธนาคารรัฐปล่อยกู้ตามนโยบายรัฐ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อย้ายหนี้รัฐวิสาหกิจออกจากบัญชีหนี้สาธารณะ การจัดตั้ง SPV เพื่อกู้เงินทุนจากเอกชน โดยไม่ปรากฏเป็นหนี้สาธารณะ รวมทั้งการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่ไม่คุ้มค่า ทำให้รัฐต้องอุดหนุนในระยะยาว โดยเท่าที่ค้นพบมีมูลค่าภาระผูกพันและหนี้ที่ซุกอยู่รวมกันถึง 546,944 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย ซึ่งการระดมทุนด้วยวิธีการเหล่านี้ จะกลายเป็นหนี้สาธารณะจำนวนมากในอนาคต หากเศรษฐกิจถดถอยหรือเข้าสู่วิกฤต
ลักษณะประการสุดท้าย lsquo;งบจอมฮั้วrsquo; โดยเฉพาะการจัดงบปี 49 โดยเฉพาะการลงทุนในเมกะโปรเจคต์ เพราะรัฐบาลยังไม่มีแนวทางการระดมทุนที่ชัดเจน จึงเป็นไปได้สูงที่จะนำวิธีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการเหมาแบบเบ็ดเสร็จ หรือ Turn Key มาใช้ เพราะวิธีนี้ผู้รับเหมาจะรับผิดชอบระดมทุนเอง แต่วิธี Turn Key จะมีการออกแบบไปพร้อมกับการก่อสร้าง ทำให้การควบคุมและตรวจสอบงานทำได้ยาก และวิธีการนี้จะมีผู้รับเหมาน้อยรายที่จะมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดให้มีสิทธิเข้าแข่งขันในการประกวดราคา จึงเป็นช่องทางให้เกิดการฮั้วประมูล และเปิดช่องให้สะดวกต่อการโกงกิน
จากที่ผมได้อภิปรายเกี่ยวกับความเสี่ยงของงบประมาณ เพื่อน ๆ คิดเห็นอย่างไรครับ สามารถเสนอแนะได้ผ่านทาง E-mail ของผมครับ