ข้อพิจารณาบางประการเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. การยางฯ
ร่าง พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ....เป็นแนวคิดที่ดี แต่การทำธุรกิจไม่ควรเป็นหน้าที่ของ กยท. เพราะไม่ใช่ธุรกิจที่เอกชนทำไม่ได้ ไม่ใช่ธุรกิจที่ภาครัฐทำได้ดี ไม่ทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลต้องการให้ กยท.ทำธุรกิจเพื่อช่วยเหลือชาวสวนยางที่ยากจน โดยไม่หวังผลกำไรมากนัก ผมคิดว่าไม่ควรเขียนกฎหมายให้ กยท.ทำธุรกิจได้กว้างมากเกินไปเพราะเปิดช่องให้ กยท.แข่งกับเอกชนซึ่งเป็นผลเสียต่ออุตสาหกรรมยางพาราโดยรวม
สองhellip;ไม่ใช่ธุรกิจที่ภาครัฐทำได้ดี หากพิจารณาผลการประกอบการขององค์การสวนยางพบว่ามีปัญหาขาดทุนอย่างยาวนาน โดยปี 2543 ขาดทุน 15.10 ล้านบาท ปี 2544 (เม.ย.-ก.ย.) ขาดทุน 12.31 ล้านบาท ก่อนที่จะมีกำไรในช่วงปี 2545-2547 โดยมีผลกำไรประมาณ 20-30 ล้านบาทต่อปี ด้วยเหตุที่หน่วยงานภาครัฐมักมีประสิทธิภาพด้อยกว่าเอกชน ผมจึงเห็นว่า กยท.ควรนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้พัฒนาคุณภาพยาง ส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาธุรกิจยางพาราของเอกชนมากกว่าที่จะทำธุรกิจแข่งกับเอกชน
สามhellip;ไม่ทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้อำนาจ กยท.ในการจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพารา ซึ่งอาจทำให้ กยท.สามารถใช้อำนาจและสิทธิพิเศษที่ได้รับในฐานะที่เป็นหน่วยงานรัฐ ทำให้ได้เปรียบภาคเอกชน เช่น มาตรา 23 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลทั่วไป มาตรา 39 ระบุให้ไม่ต้องนำส่งเงินและทรัพย์สินให้กระทรวงการคลัง และมาตรา 56 ระบุให้รายได้ที่ กยท.ได้รับจากการดำเนินงานให้ตกเป็นของ กยท. เมื่อเป็นเช่นนี้ หาก กยท. ได้รับการสนับสนุนจนกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีอำนาจผูกขาดตลาด และเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้ ไม่เท่ากับว่า รัฐบาลนำเงินภาษีของประชาชนมาพัฒนา กยท. เพื่อขายให้เอกชนโดยชุบมือเปิบไปหรือ?
การจัดตั้ง กยท.อาจช่วยแก้ไขปัญหาการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราที่ผ่านมา ซึ่งขาดการบูรณาการร่วมกัน แต่การที่ร่าง พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของ กยท.ไว้มากเกินไป ทำให้ กยท. แทนที่จะเป็นองค์กรของรัฐที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจของเอกชน แต่กลับจะทำให้ภาคเอกชนอ่อนแอลง เพราะกลายเป็นคู่แข่งที่มีความได้เปรียบอันเกิดจากกติกาที่ไม่เป็นธรรม
เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2548 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณา ร่าง พ.ร.บ. การยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ในวาระที่ 1 ซึ่งผมเห็นว่าเป็นแนวคิดที่ดีที่บูรณาการการทำงานของหน่วยงานสำคัญด้านยางพาราของประเทศเข้าด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ทำธุรกิจเกี่ยวกับยางพารา ซึ่งน่าจะเป็นธุรกิจที่มีการโอนมาจากองค์การสวนยางแห่งประเทศไทย ผมเห็นว่าการทำธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราไม่ควรเป็นหน้าที่ของ กยท. เนื่องจาก
หนึ่งhellip;ไม่ใช่ธุรกิจที่เอกชนทำไม่ได้ หากพิจารณาหลักการทางเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับบทบาทของรัฐในระบบเศรษฐกิจ รัฐจะเข้าไปดำเนินการในกิจการที่เอกชนไม่สามารถทำได้หรือไม่ควรทำ อันเนื่องจากเป็นสินค้าสาธารณะและสาธารณูปโภคพื้นฐาน หรือสินค้าที่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ หรือเป็นธุรกิจที่ต้องใช้การลงทุนสูงมาก หรือเป็นสินค้าที่มีผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมสูงมาก หรือตลาดของสินค้าประเภทนั้นมีปัญหาความล้มเหลวของตลาด แต่ธุรกิจยางพาราไม่ได้มีคุณสมบัติดังที่กล่าวเบื้องต้นอย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลต้องการให้ กยท.ทำธุรกิจเพื่อช่วยเหลือชาวสวนยางที่ยากจน โดยไม่หวังผลกำไรมากนัก ผมคิดว่าไม่ควรเขียนกฎหมายให้ กยท.ทำธุรกิจได้กว้างมากเกินไปเพราะเปิดช่องให้ กยท.แข่งกับเอกชนซึ่งเป็นผลเสียต่ออุตสาหกรรมยางพาราโดยรวม
สองhellip;ไม่ใช่ธุรกิจที่ภาครัฐทำได้ดี หากพิจารณาผลการประกอบการขององค์การสวนยางพบว่ามีปัญหาขาดทุนอย่างยาวนาน โดยปี 2543 ขาดทุน 15.10 ล้านบาท ปี 2544 (เม.ย.-ก.ย.) ขาดทุน 12.31 ล้านบาท ก่อนที่จะมีกำไรในช่วงปี 2545-2547 โดยมีผลกำไรประมาณ 20-30 ล้านบาทต่อปี ด้วยเหตุที่หน่วยงานภาครัฐมักมีประสิทธิภาพด้อยกว่าเอกชน ผมจึงเห็นว่า กยท.ควรนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้พัฒนาคุณภาพยาง ส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาธุรกิจยางพาราของเอกชนมากกว่าที่จะทำธุรกิจแข่งกับเอกชน
สามhellip;ไม่ทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้อำนาจ กยท.ในการจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพารา ซึ่งอาจทำให้ กยท.สามารถใช้อำนาจและสิทธิพิเศษที่ได้รับในฐานะที่เป็นหน่วยงานรัฐ ทำให้ได้เปรียบภาคเอกชน เช่น มาตรา 23 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลทั่วไป มาตรา 39 ระบุให้ไม่ต้องนำส่งเงินและทรัพย์สินให้กระทรวงการคลัง และมาตรา 56 ระบุให้รายได้ที่ กยท.ได้รับจากการดำเนินงานให้ตกเป็นของ กยท. เมื่อเป็นเช่นนี้ หาก กยท. ได้รับการสนับสนุนจนกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีอำนาจผูกขาดตลาด และเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้ ไม่เท่ากับว่า รัฐบาลนำเงินภาษีของประชาชนมาพัฒนา กยท. เพื่อขายให้เอกชนโดยชุบมือเปิบไปหรือ?
การจัดตั้ง กยท.อาจช่วยแก้ไขปัญหาการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราที่ผ่านมา ซึ่งขาดการบูรณาการร่วมกัน แต่การที่ร่าง พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของ กยท.ไว้มากเกินไป ทำให้ กยท. แทนที่จะเป็นองค์กรของรัฐที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจของเอกชน แต่กลับจะทำให้ภาคเอกชนอ่อนแอลง เพราะกลายเป็นคู่แข่งที่มีความได้เปรียบอันเกิดจากกติกาที่ไม่เป็นธรรม
เผยแพร่:
0
เมื่อ:
2005-10-27