คลังถังแตก : มะเร็งร้ายลามรัฐวิสาหกิจ
เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
จากการที่กระทรวงการคลังมีมาตรการบังคับให้รัฐวิสาหกิจต้องส่งรายได้เข้าคลังเพิ่มอีกร้อยละ 15 โดยรายได้ที่ต้องนำส่งในปีงบฯ 2549 แบ่งตามประเภทของรัฐวิสาหกิจ เช่น กลุ่มสาธารณูปโภคและสาธารณูปการให้เพิ่มการนำส่งรายได้เป็นร้อยละ 45 ของกำไรจากเดิมร้อยละ 30 และนำส่งให้เร็วขึ้นจากเดิม 1 ครั้งต่อปี เป็น 2 ครั้ง เพื่อให้ทันกับรายจ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นนั้น
มาตรการของกระทรวงการคลังดังกล่าวนี้ นอกจากจะเป็นสัญญาณที่สะท้อนว่าฐานะการคลังของรัฐบาลมาถึงจุดอันตรายแล้ว นโยบายนี้ยังส่งผลให้รัฐวิสาหกิจเสียโอกาสในการพัฒนาองค์กรอีกด้วย
หากดูตัวเลขเฉพาะรายได้เดือนมีนาคมหลังประกาศมาตรการ มียอดสุทธิ 1.03 แสนล้านบาท เกินเป้า 2.19 พันล้านบาท หรือ ร้อยละ 2.2 ของเป้าที่ตั้งไว้ เหตุที่เก็บรายได้เกินเป้ามาจากรัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้ให้รัฐถึง 1.22 หมื่นล้านบาท ประมาณว่ามาตรการนี้จะทำให้ยอดรายได้ของรัฐบาลที่มาจากรัฐวิสาหกิจเพิ่มเป็นปีละประมาณกว่าแสนล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 8-10 ของงบฯ รายจ่ายประจำปี
แท้จริงแล้วมาตรการนี้ออกมาเพื่อแก้ปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการคลังที่รุนแรง โดยผลเสียของการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ในระยะยาวรัฐวิสาหกิจจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะการดึงรายได้รัฐวิสาหกิจที่ฝากธนาคารมาให้กระทรวงการคลังทั้งหมดจะทำให้ต่อไปรัฐวิสาหกิจไม่มีเงินเก็บเหลือเพียงพอจะนำไปลงทุน ทั้ง ๆ ที่เงินส่วนนี้ถือเป็นงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจ เป็นส่วนกำไรที่นำไปขยายกิจการโดยประมาณว่าในแต่ละปีจะมีงบลงทุนรัฐวิสาหกิจประมาณ 3 แสนล้านบาท รวมแล้วมากกว่า 100 โครงการ
มาตรการนี้ทำให้งบลงทุนหายไปประมาณแสนล้าน เหลือเพียง 2 แสนล้านบาทเท่านั้น หรือเหลือจำนวนโครงการเพียงประมาณ 2 ใน 3 ของโครงการทั้งหมด
หลักเกณฑ์ใหม่ที่กระทรวงการคลังออกมาถือว่า ทำให้รัฐวิสาหกิจเสียโอกาสที่จะพัฒนาองค์กรของตนหรืออาจเรียกว่า ดับฝัน รัฐวิสาหกิจที่จะลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่พัฒนารัฐวิสาหกิจให้มีศักยภาพไปพร้อมกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและการแข่งขันกับเอกชนและนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้รัฐวิสาหกิจจะขาดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ เพราะไม่มีทุนในมือ และต่อนี้ไปการขยายการลงทุนในโครงการใหม่หรือโครงการขนาดใหญ่ เช่น การลงทุนขยายสายส่งของบริษัทกฟผ. การลงทุนด้านเครือข่ายเพื่อแข่งขันกับเอกชนของบริษัททีโอที หรือการบินไทยจะซื้อเครื่องบินใหม่ จะเป็นไปได้ยาก เพราะลำพังกระทรวงการคลังเองก็แทบจะเอาตัวเองไม่รอดอยู่แล้ว
มาตรการนี้จะไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดสภาพคล่องได้ ตราบใดที่รัฐบาลยังดำเนินนโยบายประชานิยม และขาดวินัยทางการเงินการคลัง เช่นที่เป็นอยู่นี้