เก็บภาษีมรดก-ภาษีทรัพย์สิน ควรเขียนในรัฐธรรมนูญ?


* ภาพจาก http://images.hunsa.com/Music/news_012006/catman_11012006_01.jpg - มรดก-1
ในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มีผู้เสนอให้ระบุการจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อลดความเลื่อมล้ำของคนสังคม แต่ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 กลับไม่ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีดังกล่าว

จึงเกิดคำถามว่า ควรระบุการเก็บภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่?

หลักการของการจัดเก็บภาษีมรดก-ภาษีทรัพย์สิน
: ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำของรายได้สูงติดอันดับต้น ๆ ของโลก สาเหตุของความเหลื่อมล้ำของรายได้ระหว่างคนจนและคนรวยเกิดจากโอกาสที่แตกต่างกัน ซึ่งนำไปสู่ความสามารถที่ไม่เท่ากัน

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่างของโอกาสและความสามารถ
คือ ฐานะทางเศรษฐกิจ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จุดเริ่มต้นของคนจนและคนรวยไม่เท่ากัน คนจนจึงขาดโอกาสได้รับการศึกษาและสาธารณสุขที่มีคุณภาพ ขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ขาดโอกาสเข้าถึงที่ดินและทรัพยากรในการทำกินและการดำรงชีพ ขาดทางเลือกและโอกาสเข้าถึงแหล่งงานและข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ ยิ่งไปกว่านั้นคนจนยังมีภาระหนี้สินที่ต้องแบกรับ

การจัดเก็บภาษีมรดกและทรัพย์สินจึงเป็นมาตรการหนึ่ง เพื่อถ่ายโอนความมั่งคั่งจากคนรวยไปสู่คนจน เพื่อทำให้จุดเริ่มต้นของคนจนและคนรวยไม่แตกต่างกันมากจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลทำให้คนจนมีโอกาสมากขึ้นในการหลุดพ้นจากวงจรแห่งความยากจน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาษีมรดก-ภาษีทรัพย์สินเป็นแนวคิดที่ดีและมีการผลักดันมานานในหลายรัฐบาลที่ผ่านมา รวมทั้งการผลักดันให้บรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ด้วย แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ

ควรบรรจุภาษีมรดก-ภาษีทรัพย์สินในรัฐธรรมนูญหรือไม่
: การบรรจุภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินไว้ในรัฐธรรมนูญได้รับการโต้แย้งว่า รัฐธรรมนูญควรเขียนในลักษณะหลักการหรือแนวนโยบาย ไม่ควรลงรายละเอียดของนโยบาย แต่ข้อโต้แย้งนี้ไม่สมเหตุสมผล เพราะร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้ระบุรายละเอียดของนโยบายไว้ในบางมาตรา เช่นมาตรา 48 ที่กล่าวถึงสิทธิในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย

อย่างไรก็ตาม แม้มาตรการภาษีมรดก-ภาษีทรัพย์สิน และการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี จะคล้ายคลึงกันในแง่เป้าหมายในการกระจายรายได้และกระจายโอกาสในการศึกษา ซึ่งมีวิธีการดำเนินงานที่หลากหลาย ไม่ใช่เฉพาะการเก็บภาษีสองประเภทนี้และการให้การศึกษาฟรีเท่านั้น แต่การเก็บภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินไม่ใช่มาตรการที่เป็นหลักประกันได้ว่า จะสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้ แตกต่างจากการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานฟรี 12 ปี ที่เป็นหลักประกันได้ว่า ทุกคนจะเข้าถึงการศึกษาได้

การเก็บภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินเป็นมาตรการที่ควรพิจารณา แต่มิได้เป็นมาตรการที่เพียงพอสำหรับการกระจายรายได้ เนื่องจากว่ายังมีมาตรการกระจายรายได้วิธีอื่น เช่น การลดภาษีและขยายสวัสดิการไปสู่คนจนมากขึ้น การเก็บภาษีอัตราก้าวหน้ากับที่ดินรกร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ การเก็บภาษีจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของที่ดินและทรัพย์สิน (Capital Gain Tax) การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในชนบท เป็นต้น

นอกจากนี้ การกระจายรายได้ไม่ใช่สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเหมือนกับสิทธิในการได้รับการศึกษา เพราะการมีรายได้มากไม่ควรเป็นสิทธิของประชาชน แต่ควรเป็นผลตอบแทนที่เกิดขึ้นตามความรู้ความสามารถและความขยันขันแข็งของแต่ละคน

ดังนั้นการที่รัฐเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน และมีโอกาสในการประกอบอาชีพตามศักยภาพของแต่ละคนน่าจะเป็นหลักการที่เหมาะสมแล้ว

อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นไม่ได้หมายความว่าไม่ควรเก็บภาษีมรดกหรือภาษีทรัพย์สิน ผมเสนอว่า รัฐควรต้องศึกษาวิธีการที่เหมาะสมและดำเนินการหลาย ๆ มาตรการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมทั้งต่อคนจนและคนรวยเป็นสำคัญ
admin
เผยแพร่: 
0
เมื่อ: 
2007-07-25