ธรรมชาติของความแตกต่าง

มนุษย์ทุกคนมีความแตกต่าง ไม่มีใครเหมือนใคร ในการทำงานกับมนุษย์ ความแตกต่างไม่ใช่เรื่องที่ ๆ ไม่ดี หากเรามองในเชิงบวก การเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของความแตกต่าง จะช่วยให้เราสามารถตอบสนองความต้องการและปฎิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างถูกต้องและอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข
ดังนั้น ในการปฏิบัติต่อผู้อื่น เราจึงต้องใส่ใจในความรู้สึกนึกคิดของเขาด้วยว่า คิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร และเราควรจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไรจึงบรรลุผลสำเร็จมากที่สุด โดยไม่สามารถสรุปรวบรัดได้ว่าเหมือนกันกับเรา เห็นได้ว่าบุคคลแต่ละคนมีความแตกต่างกัน เช่นมีรสนิยมที่ไม่เหมือนกัน แม้ในเรื่องเดียวกัน ในสิ่งเดียวกัน เราอาจจะชอบแต่เขาอาจจะไม่ชอบ สิ่งที่เราคิดว่าดีสำหรับเขาด้วยนั้น อาจเป็นสิ่งที่เขารังเกียจ และทำให้เขาอาจตีความเจตนาดีของเราผิดไปได้
มีคำกล่าวไว้ว่า

ldquo;จงปฏิบัติต่อผู้อื่น เฉกเช่นเดียวกับที่ต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเราrdquo;

หากเราปฏิบัติต่อผู้อื่นในสิ่งที่ดี สิ่งที่น่าพึงพอใจ เราย่อมได้รับการปฏิบัติที่ดี ที่ทำให้เราพึงพอใจและสุขใจกลับมาเป็นการตอบแทน
บทเรียนที่น่าเรียนรู้จากคำกล่าวข้างต้น สำหรับผู้ที่อยู่ในบทบาท lsquo;นำrsquo; ผู้อื่น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจความจริงที่ว่าถ้ามีการนำย่อมต้องมีผู้ยินดีติดตาม ในขณะเดียวกันการเป็นฝ่ายตามก็หมายถึงการมีผู้นำให้พึ่งพาอาศัย ฉะนั้นทั้งฝ่ายผู้นำและฝ่ายผู้ตามย่อมต้องเดินไปด้วยกัน จะละทิ้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมไม่ได้ ผู้นำเองจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจทีมงานที่เป็นผู้ปฏิบัติแต่ละคน ว่าแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน ในการสื่อสารและการสร้างความคาดหวังในทีมงานแต่ละคน และผลักดันให้ทีมงานทำงานจนบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย จึงจำเป็นต้องปฏิบัติหรือใช้เทคนิคที่แตกต่างกันให้เหมาะกับแต่ละบุคคล

การพัฒนาความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น จึงเป็นทักษะสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรฝึกฝน โดยในภาคปฏิบัติ สิ่งที่เราควรทำ ได้แก่ การฝึกลักษณะนิสัย ldquo;ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่นrdquo; อาทิ

ไม่เอาความต้องการของตนเองเป็นldquo;ศูนย์กลาง
หากเราเป็นผู้นำ เพื่อให้งานเกิดขึ้นได้อย่างสอดคล้องกับนโยบายระดับสูงและไม่ทำร้ายจิตใจของผู้ปฏิบัติซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนให้งานบรรลุผลได้ สิ่งหนึ่งที่เราควรตระหนักถึงคือความต้องการของผู้ที่ปฎิบัติที่อยู่ภายใต้เรา โดยคำนึงว่า lsquo;เขาจะคิดอย่างไรrsquo; lsquo;เขาเข้าใจหรือไม่rsquo; lsquo;เขาปรารถนาเช่นไรrsquo;การเอาใจเขามาใส่ใจเราที่สำคัญ ต้องไม่คิดว่าตนเองเก่งกว่า และไม่ยึดความต้องการของตนเองเป็นที่ตั้งหากเราไม่สนใจและเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่น เท่ากับว่าเรากำลังทำลายตนเองเพราะเราจะถูกต่อต้านและไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ร่วมงานในที่สุด

ช่างคิด สังเกต ก่อนตีความ
เราเข้าใจแล้วว่าในคนแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันทั้งด้านความคิด ความแตกต่างด้านร่างกายความแตกต่างทางด้านจิตใจความแตกต่างทางด้านอารมณ์ความแตกต่างทางด้านความรู้ประสบการณ์ ความแตกต่างทางด้านอุปนิสัยใจคอรวมทั้งความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมอื่น ๆที่ทำให้การแสดงออกต่าง ๆ ไม่เหมือนกันเราจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อนร่วมงานแต่ละคน โดยไม่ด่วนตีความตัดสินหรือสรุปว่าทุกคนต้องคิดและทำเหมือน ๆ กัน เราควรเป็นคนที่ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่น เริ่มต้นจากการเป็นคนช่างสังเกตว่าเพื่อนร่วมงานของเราแต่ละคนเป็นเช่นไร สังเกตท่าทางปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของเรา ควรเป็นคนรู้จักคิด ไตร่ตรองและคิดถึงผลที่อาจเกิดขึ้นแก่คนอื่นเสมอ และควรเป็นคนที่ชอบรับฟังความคิดเห็นของทีมงาน พยายามทำความเข้าใจในความคิดและการปฏิบัติที่แตกต่างกันของแต่ละคน

เส้นทางแห่งความสำเร็จหรือล้มเหลวในบทบาทผู้นำ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ที่จะพัฒนาความเข้าใจผู้อื่นด้วย ทั้งนี้เพราะlsquo;ผู้นำต้องนำคน จึงจำเป็นต้องเข้าใจคนทุกคนที่ต้องนำrsquo; มิเช่นนั้นแล้วย่อมไม่สามารถนำพาทั้งทีมให้ร่วมแรงร่วมใจไปสู่เป้าหมายได้ ดังนั้น ผู้ปรารถนาความสำเร็จในฐานะผู้นำ จึงควรเรียนรู้ในการไวต่อความรู้สึกของผู้ร่วมงาน และปฏิบัติต่อกันด้วยความเข้าใจ

นอกจากนี้ เราต้องตระหนักว่า มุมมองของเราแต่ละคนในเรื่องเดียวกันอาจมีความแตกต่างกัน แต่ละคนนั้นต่างมี อคติ ซึ่งอคติเป็นส่วนหนึ่งในวิธีคิด และมีอิทธิพลต่อการทำความเข้าใจและตีความสิ่งที่เห็นหรือได้ยิน เราต้องระวังเรื่องนี้ โดยต้องพยายามเข้าใจในสิ่งที่แต่ละคนพูด ที่สำคัญต้องไม่ใช้อารมณ์และความรู้สึกของเราพิพากษาตัดสินผู้อื่น แต่ใช้เหตุผลในการสื่อสารข้อเท็จจริง
admin
เผยแพร่: 
หนังสือพิมพ์โคราชรายวัน
เมื่อ: 
2007-04-26