พัฒนาเด็กปฐมวัย ต้องอาศัยความร่วมมือ

ปัจจุบันการจัดการเรียนรู้และการศึกษา ldquo;ปฐมวัยrdquo; (เด็กแต่แรกเกิด-5 ขวบ) ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นช่วงวัยสำคัญในการวางรากฐานสติปัญญา ความสามารถ ความฉลาดทางอารมณ์ บุคลิกภาพ และพฤติกรรมของบุคคล จึงคาดการณ์ได้ว่า ประเทศจะก้าวหน้าได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการวางรากฐานให้แก่บุคลากรในประเทศตั้งแต่ปฐมวัย
การศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย มีรัฐบาลมีหน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงมหาดไทย โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งในปี 2548 มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก หรือเด็กปฐมวัย อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยงานเหล่านี้ทั้งสิ้น 16,841 แห่ง นอกจากนี้ กระทรวงแรงงาน ยังได้จัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กในสถานประกอบการและชุมชน
การศึกษาระดับปฐมวัยของไทยมีปัญหาหลายประการ อาทิ การเข้ารับการศึกษาของเด็กปฐมวัยลดลง จากร้อยละ 83.7 ในปีการศึกษา 2548 เหลือร้อยละ 75.03 ในปีการศึกษา 2549 อีกทั้ง การศึกษาปฐมวัยยังขาดคุณภาพ ผลการประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ปี 2548 พบว่า มีสื่อการเรียนที่เหมาะสมเพียงร้อยละ 36.9 ครูจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเพียงร้อยละ 38ซึ่งสาเหตุเกิดจากความไม่พร้อมด้านครู อาคารสถานที่ อุปกรณ์การเรียน ศูนย์การศึกษามีไม่พอ รวมทั้ง การประสานงานระหว่างรัฐและเอกชนขาดประสิทธิภาพ นอกจากนี้ พ่อแม่ผู้ปกครอง ครู ไม่เข้าความสำคัญของการศึกษาปฐมวัย และครอบครัวยากจน
จากปัญหาที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าการให้รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบการศึกษาปฐมวัยฝ่ายเดียว ไม่ประสบความสำเร็จในการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพและเพียงพอ ผมเสนอว่า ควรกระจายความรับผิดชอบการจัดการศึกษาปฐมวัยให้กับภาคีอื่นเข้ามามีส่วนร่วม อาทิ อาสาสมัคร ชุมชน ผู้ประกอบการทางสังคม หรือองค์กรภาคเอกชนอื่น ฯลฯ ซึ่งในบทความนี้ ขอนำเสนอตัวอย่างประเทศ ที่อาศัยการสร้างความร่วมมือในการจัดการศึกษาปฐมวัย
ประเทศอังกฤษรัฐบาลอังกฤษได้นำนโยบาย Neighbourhood Nurseries ซึ่งผลการดำเนินงาน พบว่า ภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี (ปี 2001-2004) มีศูนย์รับเลี้ยงเด็กปฐมวัยแห่งใหม่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษกว่า 45,000 แห่ง สามารถตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้และการศึกษาปฐมวัยได้ค่อนข้างมาก ที่ผ่านมา รัฐบาลอังกฤษไม่สามารถจัดการศึกษาให้เด็กปฐมวัยได้ทั่วถึง จึงใช้ช่องทางการสร้างความร่วมมือกับประชาชนจากหลาย ๆ ฝ่าย ไม่เฉพาะกับหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น อาทิ กลุ่มอาสาสมัคร กลุ่มคนในชุมชน กลุ่มผู้ประกอบการทางสังคม หรือองค์กรภาคเอกชน ที่มีความพร้อมและศักยภาพในการดูแลเด็กปฐมวัย ให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนกับรัฐ ที่เรียกว่า Early Years Development and Childcare Partnerships (EYDCPs) โดยให้หุ้นส่วนกำหนดรูปแบบการจัดการศึกษาเอง โดยเน้นตอบสนองความต้องการของคนในพื้นเป็นหลัก รัฐเพียงสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงาน จึงเป็นเหตุให้มีกลุ่มผู้สนใจเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก โดยในระยะเวลา 4 ปี รัฐบาลอังกฤษใช้งบประมาณไปกว่า 300 ล้านปอนด์ เพื่อแลกกับประสิทธิภาพ และความทั่วถึงของการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย
ประเทศบราซิล กระทรวงศึกษาธิการประเทศบราซิล มีหน่วยงานพัฒนาการศึกษาเด็กก่อนวัยเรียน (Eary Childhood Education and Development Unit) โดยที่หน่วยงานฯ ดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อจัดตั้งศูนย์การศึกษาก่อนเข้าเรียนให้มีจำนวนเพียงพอ โดยอาศัยเครือข่ายความร่วมมือจากชุมชน คริสตจักร และองค์กรที่ไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนการให้บริการการศึกษาก่อนวัยเรียน โดย กระทรวงศึกษาธิการจะสนับสนุนงบประมาณและองค์ความรู้ ซึ่งทำให้มั่นใจว่าเด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการพัฒนาตามโปรแกรมอย่างทั่วถึง โดยหน่วยงานฯ จะทำงานร่วมกับศูนย์ใหม่ ๆ และที่สำคัญ หน่วยงานฯ จะทำหน้าที่ประเมินผลสะท้อนกลับไปที่กระทรวงศึกษาธิการและศูนย์การศึกษา เพื่อทำให้เกิดการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน อีกทั้ง กระตุ้นพ่อแม่ผู้ปกครองให้นำเด็กเข้ามารับการศึกษา และฝึกอบรมบุคลากรที่จัดการศึกษาให้กับเด็กปฐมวัยในศูนย์การศึกษาต่าง ๆ
ความแตกต่างระหว่างการจัดการศึกษาปฐมวัยของอังกฤษและบราซิลคือ รัฐบาลอังกฤษจะให้อิสระแก่หุ้นส่วนในการจัดการศึกษาปฐมวัยตามความต้องการของคนในท้องถิ่น ขณะที่บราซิล หน่วยงานพัฒนาการศึกษาเด็กก่อนวัยเรียน เป็นผู้กำหนดโปรแกรมการเรียนการสอนให้ศูนย์การศึกษาก่อนวัยเรียน เพื่อพัฒนาเด็กเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่สิ่งที่ทั้ง 2 ประเทศมีคล้ายกันคือ การใช้ความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม เพราะตระหนักว่า รัฐบาลฝ่ายเดียวไม่สามารถจัดการศึกษาปฐมวัยได้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ
ในประเทศไทย รัฐบาลไทยควรเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีศักยภาพเพียงพอเข้ามามีส่วนจัดการศึกษาปฐมวัย แต่ทั้งนี้ ต้องกำหนดเกณฑ์มาตรฐานความพร้อม เพื่อประเมินกลุ่มบุคคลหรือองค์กรที่เข้ามามีส่วนร่วมจัดการศึกษาว่ามีความพร้อมจริงหรือไม่ โดยรัฐให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ องค์ความรู้และการประเมินคุณภาพเป็นหลัก เช่นเดียวกับประเทศบราซิล แต่รูปแบบการจัดการเรียนการสอนให้เป็นไปตามความต้องการของคนในพื้นที่ อย่างในประเทศอังกฤษ
การวางรากฐานการศึกษาตั้งแต่ปฐมวัย เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าในอนาคต เพราะช่วงที่สำคัญของการพัฒนาศักยภาพมนุษย์คือ ช่วงปฐมวัย ดังนั้น รัฐบาลไทยควรหันมาลงทุนกับเด็กในวัยนี้มากขึ้น โดยอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้เรียนแม้ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งสามารถแบ่งเบาภาระของรัฐบาลในการจัดการศึกษาปฐมวัยอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ
admin
เผยแพร่: 
สยามรัฐรายวัน (ศึกษาทัศน์)
เมื่อ: 
2008-02-13