"วิกฤติต้มยำกุ้ง" เปลี่ยนแบบแผนการเจริญเติบโตของประเทศไทยหรือไม่

ผู้อ่านเกือบทุกคนคงจำได้ถึงวิกฤติการณ์การเงินและเศรษฐกิจในประเทศไทยเมื่อ 10 ปีก่อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนจากระบบตะกร้าเงินเป็นระบบลอยตัว ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540ซึ่งทำให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงของค่าเงินบาทในระยะสั้น แม้ว่าความจริงแล้วเหตุการณ์นี้เป็นเพียง ldquo;ปลายน้ำrdquo; ของ ldquo;ต้นน้ำrdquo; อันเป็นรากเหง้าของวิกฤติการณ์

จากการทบทวนและติดตามเศรษฐกิจของไทยมาตลอดตั้งแต่ช่วงวิกฤติการณ์จนถึงปัจจุบัน ทำให้ผมเกิดคำถามข้อหนึ่ง คือ วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงปี 2540 นั้น เปลี่ยนแปลงแบบแผนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยภายหลังวิกฤติ ไปจากช่วงก่อนเกิดวิกฤติหรือไม่?

เพื่อให้การวิเคราะห์เป็นไปอย่างมีเหตุผลตามหลักวิชาการ ผมได้วิเคราะห์องค์ประกอบของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ด้านรายจ่าย ซึ่งประกอบด้วย การบริโภค การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ ระหว่างปี พ.ศ. 2350-2539 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติการณ์ และช่วงปี พ.ศ. 2542-2548 ซึ่งเป็นช่วงหลังเกิดวิกฤติการณ์ ดังข้อมูลในตารางข้างล่าง
 
องค์ประกอบแห่งความเติบโตทางเศรษฐกิจด้านรายจ่ายของประเทศไทย
ปี
การบริโภค
การลงทุน
การส่งออก
การนำเข้า
ปัจจัยอื่น
การเติบโตทางเศรษฐกิจ
รัฐ
เอกชน
รัฐ
เอกชน
2530-2539
0.6
4.5
1.5
3.3
4.5
-5.7
-0.1
8.6
2542-2548
0.4
2.8
-0.1
1.5
4.8
-5
0.6
4.9
ที่มา: คำนวณจากฐานข้อมูลเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย
 
จากตารางข้างบน เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเติบโต พบว่าประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงหลังวิกฤติการณ์ต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติการณ์โดยเฉลี่ยถึงร้อยละ 2.5 ต่อปี ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบแห่งความเติบโตทางเศรษฐกิจดังต่อไปนี้

การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในช่วงก่อนวิกฤติการณ์มีการเติบโตสูง เฉลี่ยถึงร้อยละ 4.5 และ 3.3 ต่อปีตามลำดับ ซึ่งสาเหตุเกิดจากไหลเข้าอย่างรุนแรงของเงินทุนต่างประเทศ ทำให้มีอัตราการขยายตัวของการลงทุนในประเทศสูงมาก การลงทุนได้สร้างตำแหน่งงานเกิดขึ้นมากมาย พร้อมกับค่าจ้างที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การบริโภคของภาคเอกชนขยายตัวอย่างรวดเร็วไปด้วย

อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนจำนวนมากในช่วงก่อนเกิดวิกฤติ เป็นการลงทุนเพื่อเก็งกำไร โดยเฉพาะการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มของเศรษฐกิจแบบฟองสบู่
ภายหลังวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ การขยายตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนลดลงโดยเฉลี่ยถึงร้อยละ 1.7 และ 1.8 ต่อปี ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจช่วงหลังวิกฤติต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติ หรืออาจกล่าวได้ว่าวิกฤติการณ์ปี 2540 ได้เปลี่ยนแบบแผนการบริโภคและการลงทุนของประเทศไทย เนื่องจากวิกฤติการณ์ทำให้เงินลงทุนจากต่างประเทศไม่ได้เข้ามาอย่างร้อนแรงเหมือนช่วงก่อนวิกฤติ อีกทั้งภาคการเงินซึ่งได้รับบทเรียนจากวิกฤติการณ์ต่างระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากการให้สินเชื่อภายหลังเกิดวิกฤติมีความเสี่ยงมากขึ้น

สำหรับองค์ประกอบด้านการบริโภคและการลงทุนภาครัฐนั้น จากตารางจะเห็นได้ว่าการใช้จ่ายของภาครัฐมีความสำคัญไม่มากนักเมื่อเทียบกับปัจจัยด้านอื่นทั้งก่อนและหลังวิกฤติการณ์เราจึงอาจสรุปได้ว่านโยบายการคลังของรัฐบาลมีส่วนต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไม่มากนัก

ยิ่งไปกว่านั้นตัวเลขจากตารางยังแสดงให้เห็นว่า นโยบายการคลังของรัฐบาลในช่วงก่อนเกิดวิกฤติ โดยเฉพาะนโยบายด้านการลงทุนภาครัฐประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมากกว่ารัฐบาลในช่วงหลังวิกฤติการณ์ ดังนั้นคำกล่าวอ้างของรัฐบาลทักษิณที่ว่า นโยบายของตนเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศจึงอาจจะไม่ตรงกับความจริงมากนัก
สำหรับองค์ประกอบสุดท้ายคือด้านการค้าระหว่างประเทศ ประเทศไทยยังคงสอบผ่านในเรื่องการส่งออก เนื่องจากการขยายของการส่งออกหลังวิกฤติการณ์ยังคงอยู่ในระดับสูง ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยเปลี่ยนจากประเทศที่ขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่องก่อนเกิดวิกฤติ มาเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้า ซึ่งชี้ให้เห็นโดยตัวเลขการขยายตัวของการนำเข้าที่ลดลง ขณะที่การส่งออกมีอัตราการขยายตัวสูงขึ้น
อาจกล่าวได้ว่า การค้าระหว่างประเทศเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศไทย โดยสาเหตุสำคัญคือค่าเงินบาทที่ลดลงหลังการลอยตัวค่าเงินบาทในช่วงวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ ทำให้สินค้าไทยยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ อีกสาเหตุมาจากการที่ไทยได้กลายเป็นฐานในการประกอบสินค้าบางชนิด เช่น รถยนต์และคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลก

คำถามต่อมาคือ แบบแผนที่ดีของการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศไทยควรเป็นอย่างไร? ประเทศไทยควรเร่งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนให้กลับมาขยายตัวเท่ากับก่อนเกิดวิกฤติ เพื่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกับก่อนเกิดวิกฤติหรือไม่?

ในความเห็นของผม การขยายตัวของการบริโภคเป็นสิ่งดีหากเป็นผลของการที่ประเทศสามารถผลิตสินค้าและบริการได้มากขึ้น แต่เป็นสิ่งไม่สู้ดีนักหากผู้กำหนดนโยบายจงใจให้เกิดขึ้นแม้ความสามารถในการผลิตของประเทศยังเท่าเดิม เนื่องจากแนวทางเช่นนี้อาจทำให้เกิดสังคมแห่งการบริโภคและกลายเป็นสังคมหนี้ในที่สุด
เช่นเดียวกับการขยายตัวของการลงทุนซึ่งเป็นสิ่งดี หากเป็นการลงทุนที่ทำให้ประเทศมีศักยภาพและประสิทธิในการผลิตมากขึ้น แต่จะเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์หากการลงทุนนั้นเป็นการเก็งกำไรอันไม่ได้สร้างคุณูปการอันใดเลย หรือเป็นการลงทุนแบบสุ่มเสี่ยงเกินไป

สุดท้ายผมจึงขอเสนอว่า สิ่งที่ประเทศไทยยังขาดอยู่และทำให้เกิดขึ้นได้ยาก แต่มีความจำเป็นต่อประเทศของเราคือ การลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (Ramp;D) เนื่องจากการวิจัยและพัฒนาเป็นกุญแจสำคัญที่สุดในการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในการผลิต ซึ่งผลที่ตามมาคือองค์ประกอบแห่งการเติบโตทั้งสาม คือ การบริโภค การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศจะสามารถเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน
admin
เผยแพร่: 
กรุงเทพธุรกิจ
เมื่อ: 
2007-07-11