การรับมือมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี
* ที่มาของภาพ http://i16.photobucket.com/albums/b12/dinsorsign/my%20work/heartwall.gif
ประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างมาก แต่มีแนวโน้มว่าการส่งออกจะมีอุปสรรคมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากประเทศต่าง ๆ ในโลกมีความพยายามนำเอาประเด็นทางสังคมมากำหนดเป็นมาตรฐานทางการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น เช่น มาตรฐานแรงงาน มาตรฐานสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานด้านทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
การพัฒนาเงื่อนไขของการกีดกันการค้าจะมีความเข้มงวดมากขึ้น และมีรูปแบบการกีดกันทางการค้าแบบใหม่ออกมามากขึ้น ปัจจุบันมีแนวคิดที่จะนำประเด็นภาวะโลกร้อนมาใช้กีดกันการค้า โดยระบุว่า สินค้าที่จะนำเข้าประเทศนั้น ในกระบวนการผลิตต้องไม่มีส่วนในการทำลายชั้นบรรยากาศ รวมทั้งมีความพยายามนำเอามาตรการด้านจริยธรรมผู้ประกอบการ โดยกำหนดให้บริษัทผู้ผลิตจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) หากผู้ประกอบการในประเทศไทยไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานเหล่านี้ ย่อมสูญเสียโอกาสทางการตลาด ในโลกที่กำลังเปิดกว้างและเชื่อมโยงกันมากขึ้น
การปรับตัวรับกับมาตรการกีดกันทางการค้าอาจมีต้นทุนและอาศัยเวลา ทำให้ผู้ประกอบการอาจเสียประโยชน์ในระยะสั้น แต่จะได้ประโยชน์ในระยะยาว และยังส่งผลดีต่อภาพรวมของสังคมและประเทศด้วย แต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและผู้ประกอบการจึงควรทำบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่และทำงานประสานกัน จึงจะสามารถนำพาเศรษฐกิจประเทศไปรอดในภาวการณ์แข่งขันที่รุนแรงได้ โดยผมมีแนวคิดในการปรับตัวของผู้ประกอบการดังต่อไปนี้
เปลี่ยนทัศนคติ
ทัศนคติเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการของไทยอาจมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งทำให้ไม่ยอมปรับตัว เช่น
สินค้าและบริการยังสามารถขายได้ ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน การคิดเช่นนี้ทำให้ผู้ประกอบการตกเป็นฝ่ายตั้งรับ ยอมเป็นผู้รับผลกระทบ การรอให้เกิดปัญหาแล้วจึงแก้ไข เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการที่ปรับตัวช้าได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ประกอบการที่เริ่มปรับตัวก่อน
การปรับเปลี่ยนทำให้เกิดต้นทุนและบริษัทได้กำไรน้อยลง การปรับเปลี่ยนอาจทำให้เกิดต้นทุนเพิ่มขึ้นจริง แต่เป็นโอกาสให้บริษัทสามารถเข้าถึงตลาดได้กว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิมและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้มากกว่า
ตลาดเดิมถูกกีดกันไม่เป็นไร หาตลาดใหม่ได้ แม้ว่าการพยายามหาตลาดใหม่เป็นสิ่งที่ดีและควรทำ แต่ควรดำเนินการควบคู่ไปกับการรักษาส่วนแบ่งในตลาดเดิมอย่างเต็มที่ด้วย เนื่องจากการหาตลาดใหม่เพิ่มขึ้นนั้นไม่สามารถดำเนินการได้ตลอดไปโดยไม่จำกัด ในอนาคตการขยายตัวของตลาดใหม่จะมาถึงจุดหนึ่งที่อิ่มตัวและไม่สามารถขยายในอัตราสูงต่อไปได้
เปิดรับข้อมูลข่าวสาร
นวัตกรรมในการกีดกันการค้านั้นเกิดขึ้นอยู่เสมอตามวาระของโลกที่เปลี่ยนไป ดังนั้นภาคเอกชนไทยควรติดตามข่าวสาร เปิดรับข้อมูลใหม่ตลอดเวลา โดยในยุคโลกาภิวัตน์มีหลายวิธีที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการลับความคิดและทัศนคติใหคมอยู่เสมอ เช่น การค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ การอ่านหนังสือ เป็นต้น รวมทั้งพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยปรับปรุงฐานข้อมูลการทำงานขององค์กรให้ทันสมัย เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลของภาครัฐ และมีการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารระหว่างองค์กรธุรกิจด้วยกัน เพื่อให้ตามทันมาตรการใหม่ที่จะเกิดขึ้น
ปรับตัวล่วงหน้า
มาตรการกีดกันทางการค้าหลายประการอาจพอคาดการณ์ได้ว่ากำลังจะเกิดขึ้น ผู้ประกอบการที่ตื่นตัวอยู่เสมอและไม่ยอมเป็นผู้รับผลกระทบ จะคาดการณ์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นและเตรียมปรับตัวล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม การปรับตัวล่วงหน้ามากเกินไปขณะที่ประเทศคู่แข่งยังไม่ยอมปรับตัวด้วย อาจทำเสียเปรียบต่อคู่แข่งขัน ดังนั้นผู้ประกอบการอาจจำเป็นต้องรวมกลุ่มกันเพื่อกดดันรัฐบาลให้ไปเจรจาในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อให้แต่ละประเทศปรับตัวไปพร้อมกัน นอกจากนี้ควรวางแผนสำหรับปรับเปลี่ยนการผลิตอย่างต่อเนื่อง และค่อยเป็นค่อยไป โดยลดการผลิตสินค้าในมาตรฐานเก่าและเพิ่มจำนวนสินค้าตามมาตรฐานใหม่ตามลำดับ ซึ่งอาจช่วยให้ต้นทุนการผลิตไม่สูงขึ้นเร็วและมากเกินไป
แม้ว่าจะมีผลกระทบด้านลบบ้างจากการที่ผู้ประกอบการของไทยต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีมากขึ้น แต่ผลด้านบวกที่เกิดขึ้น คือ เป็นแรงผลักให้ผู้ผลิตต้องยกระดับคุณภาพการผลิตสินค้าและบริการ ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และได้ประโยชน์จากผลพลอยได้ที่เกิดขึ้น จากการที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมด้วย
แสดงความคิดเห็น
เผยแพร่:
0
เมื่อ:
2007-12-28