เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 48 นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เปิดเผยถึงการประชุมร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับรองนายกรัฐมนตรีในวันดังกล่าว
ในที่ประชุมนายกฯ
มีแนวความคิดใหม่ที่จะให้กระทรวงมหาดไทยเลือกพื้นที่อำเภอใดอำเภอหนึ่ง เพื่อให้นายกรัฐมนตรีลงไปทำงานและพักค้างแรมเป็นเวลา
7-10 วัน ซึ่งจะต้องเป็นพื้นที่ที่มีการจัดสรรงบประมาณ SML ลงไปแล้ว
โดยนายกฯจะไปร่วมคิดร่วมทำ
และติดตามการดำเนินงานการแก้ไขปัญหาความยากจนร่วมกับปราชญ์ชาวบ้าน เป็นการบูรณาการการแก้ปัญหาความยากจนกับประชาชนในพื้นที่
โดยจะใช้ช่วงเวลาประมาณกลางเดือน ม.ค. 2549
ผมคิดเห็นว่าแนวคิดที่ออกมาเช่นนี้
รัฐบาลไม่ได้ต้องการสร้างต้นแบบการแก้ไขปัญหาความยากจน
หรือตั้งใจจะแก้ปัญหาความยากจนอย่างแท้จริง
แต่เป็นเพียงความพยายามเรียกคะแนนเสียงคืนมากกว่า
ไม่จำเป็นที่นายกต้องลงไปดำเนินการเอง
เนื่องจากนายกฯมีหน้าที่กำหนดนโยบายและกำกับดูแลงานในภาพรวม
ไม่ใช่ผู้ที่ทำหน้าที่ปฏิบัติเอง
ผมไม่คิดว่านายกฯจะปฏิบัติได้ดีกว่าผู้เชี่ยวชาญท่านอื่น
และถึงแม้นายกฯจะปฏิบัติหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด
แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องลงไปทำเองเป็นเวลานาน ๆ หากมีคนอื่นที่ทำได้
เพราะประเทศไทยยังมีปัญหาของประเทศอีกมากที่มีจำเป็นเร่งด่วนและมีความต้องการให้นายกฯเข้าไปแก้ไขมากกว่า
เช่น ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ ปัญหาไข้หวัดนก เป็นต้น
การลำดับความสำคัญที่ผิดพลาดเช่นนี้ขัดแย้งกับหลักการบริหารที่ดี
ซึ่งจะมีเหตุผลอื่นใดมิได้นอกจากเหตุผลทางการเมือง
ไม่เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาความยากจนอย่างครบถ้วน
เนื่องจากนายกฯจะลงไปทำงานในพื้นที่แห่งเดียวเป็นเวลาหลายวัน
แต่จะมีการลงพื้นที่รูปแบบเดียวกันนี้อีกหรือไม่นั้น
ขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานที่ที่เอื้ออำนวย ผมเห็นว่าการลงไปทำงานเพียงจุดเดียว
หรือบางช่วงเวลาเท่านั้นไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ทั้งหมด
เนื่องจากพื้นที่ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ SML มีอยู่ทั่วประเทศ
ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะให้เหตุผลว่าเป็นโครงการนำร่องเพื่อเป็นต้นแบบของพื้นที่อื่น ๆ
แต่ผมคิดว่าการจัดทำโครงการนำร่องต้องทำหลายพื้นที่ เพื่อเป็นต้นแบบของพื้นที่ต่าง
ๆ ที่มีลักษณะแตกต่างกัน
การทำโครงการนำร่องพื้นที่เดียวไม่สามารถเป็นต้นแบบให้กับทุกพื้นที่ได้
รวมทั้งจะต้องดำเนินการมากกว่า 7-10
วันจึงจะสามารถดำเนินการและประเมินผลได้อย่างครบถ้วน
หรือหากเป็นเพียงการลงไปให้แนวคิดและคำแนะนำกับชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึง
7-10 วัน
ต้องยอมรับว่าเวลานี้เป็นช่วงที่ประชาชน โดยเฉพาะชนชั้นกลาง
เริ่มไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในหลายเรื่อง
รัฐบาลจำเป็นต้องหาวิธีการเพื่อรักษาเสียงประชาชน โดยใช้ปัญหาความยากจนเป็นตัวหลัก
เพื่อดึงฐานเสียงประชาชนระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่กว่า
ให้ยังคงสนับสนุนรัฐบาลต่อไป การลงไปอยู่กับชาวบ้านเป็นเวลานาน ๆ
จึงเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้น
ไม่ได้ทำให้ปัญหาความยากจนได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด
|