เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
จากผลการสำรวจจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา
โดยยังไม่รวมตัวเลขของภาคธุรกิจเอกชน
ในปี พ.ศ.
2548
ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
ณ วันที่
30
สิงหาคม
2548
พบว่าสถาบันอุดมศึกษามีจำนวนบุคลากรมากที่สุด
ถึงร้อยละ
64.56
หรือ
36,501
คน
รองลงมาเป็นรัฐบาล
ร้อยละ
32.92
หรือ
18,615
รัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ
2.07
หรือ
1,170
คน
จากตัวเลขดังกล่าวแสดงถึงศักยภาพในการวิจัยของสถาบันอุดมศึกษา
แต่กลับพบว่าสถาบันอุดมศึกษา
มีการทำวิจัยจำนวนน้อย
สะท้อนว่าสถาบันอุดมศึกษาไทย
ไม่ได้ใช้บุคลากรที่มีอยู่อย่างเต็มที่
เห็นได้จากผลการติดตามและการดำเนินงานปฏิรูปการศึกษา
นับแต่ประกาศใช้
พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.
2542
ถึงสิ้นสุดปีงบประมาณ
2548
โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
พบว่าสถาบันอุดมศึกษามีผลงานวิจัยน้อย
และไม่สอดคล้องต่อความต้องการของสังคม
อาจารย์มีผลงานวิจัยเพียง
0.01
เรื่องต่อคนต่อปี
นอกจากนี้ผลการประเมินความสามารถด้านการศึกษาของไทย
ปี
2548
โดยสถาบันจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ
หรือสถาบัน
IMD
ได้ประเมินการศึกษาทั้งในเชิงปริมาณ
และเชิงคุณภาพ
ผลการประเมินเชิงคุณภาพพบว่า
การตอบสนองความต้องการในการแข่งขันของ
การศึกษาระดับอุดมศึกษาไทย
อยู่ในระดับต่ำ
ได้คะแนน
4.9
คะแนน
จากคะแนนเต็ม
10
ส่วนการถ่ายโอนความรู้
ระหว่างบริษัทธุรกิจกับสถาบันอุดมศึกษามีน้อยมาก
ได้คะแนน
4.17
ซึ่งทำให้องค์ความรู้ที่อยู่ในสถาบันอุดมศึกษา
ไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ผมเห็นว่าหากมีการใช้กลไกทางกฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อจูงใจให้เกิดการวิจัยระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและภาคธุรกิจเอกชนมากขึ้น
ดังตัวอย่างของประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่มีการปรับแก้ไขกฎหมาย
เพื่อกระตุ้นการทำวิจัยของสถาบันอุดมศึกษา
และสร้างความร่วมมือกับภาคธุรกิจ
กฎหมายที่ว่านี้คือ
Bayh-Dole
Act
หรือ
Patent
and
Trademark
Law
Amendments
Act 1980
ซึ่งประกาศใช้โดยสภาคองเกรส
(US
Congress)
เมื่อปี
1980
และมีการแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งในปี
1984
กฎหมายฉบับนี้ยินยอมให้ผู้วิจัยที่รับทุนจากงบประมาณของรัฐบาล
สามารถนำผลการวิจัยไปจดสิทธิบัตร
และขายสิทธิบัตรให้ภาคการผลิตได้
ก่อให้เกิดความตื่นตัวในการทำวิจัย
และจดสิทธิบัตรของสถาบันอุดมศึกษา
และการเจรจาสิทธิประโยชน์ระหว่างภาควิชาการกับภาคเอกชน
ความตื่นตัวนี้เห็นได้จาก
การเพิ่มขึ้นของสำนักงานสิทธิบัตรในสถาบันอุดมศึกษา
ระหว่างปี
1980-1990
จาก
25
แห่ง
เป็น
200
แห่ง
หากพิจารณากฎหมายของไทย
ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการวิจัย
จะใช้เรื่องการหักลดหย่อนภาษีมาเป็นแรงจูงใจ
ซึ่งที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก
ว่าไม่สามารถกระตุ้นการทำวิจัยของสถาบันอุดมศึกษาให้เพิ่มขึ้นได้
การกระตุ้นการทำวิจัยในสถาบันอุดมศึกษาของไทยนั้น
สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าปัจจัยอื่น
ๆ ก็คือ
รัฐจำเป็นต้องปรับแก้ไขตัวบทกฎหมาย
เพื่อกระตุ้นให้เกิดงานวิจัยมากขึ้น
ทั้งนี้
อาจพิจารณาจาก
concept
และวิธีการ
ของประเทศที่
ประสบความสำเร็จในเรื่องนั้น
ๆ
มาเป็นต้นแบบเพื่อพัฒนาต่อยอดต่อไป
ซึ่งกฎหมายที่ถูกปรับแก้ไขดังกล่าวนี้
ต้องมีส่วนกระตุ้นให้ภาคธุรกิจ
หันมาสนใจลงทุนด้านการวิจัยมากขึ้นด้วย
เพื่อทำให้การวิจัยและการพัฒนาร่วมกัน
ระหว่างมหาวิทยาลัยและภาคธุรกิจเอกชนเกิดขึ้นจริง
|