เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เมื่อวันที่
28
สิงหาคม
ที่ผ่านมาผมได้เห็นข่าวที่ท่าน
ศ.ดร.สมหวัง
พิธิยานุวัฒน์
ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.)ประกาศผลการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
โดยระบุว่าจากสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ประเมิน
30,010
แห่ง
ปรากฏว่าประมาณ
2
ใน
3
หรือมากกว่า
20,000
แห่ง
มีแนวโน้มไม่ได้มาตรฐานขั้นต่ำ
โดยเข้าขั้นอาการหนักถึงกว่า
15,000
แห่ง
ผู้เรียนส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธิ์ตามหลักสูตรต่ำ
ด้อยความคิดสร้างสรรค์และขาดนิสัยการใฝ่รู้ใฝ่เรียน
รวมทั้งมีปัญหาการขาดแคลนครูทั้งปริมาณและคุณภาพ
จากผลการประเมินดังกล่าวรัฐบาลชุดนี้คงไม่สามารถปฏิเสธได้
เห็นว่าเป็นความล้มเหลวของการปฏิรูปการศึกษาและนโยบายการศึกษาโดยระยะเวลา
5
ปีที่ผ่านมาหากจะพัฒนาการศึกษาไทยอย่างลงลึกทั้งระบบแล้ว
น่าจะเพียงพอสำหรับยกระดับมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานขึ้นมาได้บ้าง
ไม่ควรตกต่ำถึงเพียงนี้ทั้งนี้เห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมา
เป็นการแก้ปัญหาแบบฉาบฉวย
สร้างภาพ
ที่ผ่านมา
นโยบายรัฐบาลด้านการศึกษาให้ความสำคัญกับการเอื้อประโยชน์ในด้านวัตถุมากกว่าในด้านปัญญา
เน้นการดำเนินโครงการที่เห็นผลได้รวดเร็ว
มีผลงานเป็นรูปธรรมชัดเจน
สร้างภาพ
แต่ขาดความรอบคอบ
ไม่ได้คิดวางแผนระยะยาว
ไม่ได้แก้ไขที่รากปัญหาของระบบการศึกษาไทยอย่างแท้จริง
โครงการต่าง
ๆ
ที่ดำเนินการจึงมีลักษณะฉาบฉวยและไม่ได้พัฒนายกมาตรฐานของผู้เรียนแต่อย่างใด
ไม่ว่าจะเป็นโครงการแจกคอมพิวเตอร์ทุกโรงเรียน
โครงการแล็ปท็อปราคา
100
เหรียญ
โครงการ
1
อำเภอ
1
โรงเรียนในฝัน
โครงการให้ทุนการศึกษา
แต่เรื่องสำคัญกว่ากลับไม่ได้ทำ
ขาดการกำหนดทิศทางการศึกษาที่ชัดเจน
ที่ผ่านมาการศึกษาไทยไม่ได้กำหนดทิศและเป้าหมายอย่างชัดเจน
ไม่มีความเป็นเอกภาพ
ไม่มีความชัดเจนว่าการศึกษาไทยจะไปทิศทางใด
แต่ละหน่วยงานเกิดการแยกส่วนในการปฏิบัติ
ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง
เกิดการสูญเสียทรัพยากร
รวมไปถึงที่ผ่านมาการเปลี่ยน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการถึง
6
คนทำให้ไม่สามารถสานต่อโครงการได้สำเร็จ
มักคิดโครงการใหม่
ๆ
ที่ฉาบฉวยขึ้นมาตลอดส่งผลให้การศึกษาไทยอ่อนแอและเด็กไทยด้อยปัญญาดังการประเมินที่ปรากฏ
น่าเศร้าที่
นโยบายหาเสียงด้านการศึกษาของพรรคไทยรักไทย
ยังคงใช้รูปแบบเดิมๆที่ไม่ได้รับประกันใด
ๆ
เลยว่าจะสามารถยกระดับมาตรฐานทางปัญญาของเด็กไทยให้สูงขึ้น
การนำเสนอขายยังคงเน้นแจก
“เครื่องมือ”
ที่เป็นวัตถุ
ไม่ว่าจะเป็นการให้ทุกโรงเรียนมีอินเทอร์เน็ตมีคอมพิวเตอร์เด็ก
ๆ ถือแล็ปทอปไปโรงเรียนโดยไม่คำนึงว่าเครื่องมือเหล่านี้จะมี
“ผู้ใช้”
ที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะถ่ายทอดและสร้างปัญญาให้กับเด็ก
ๆ
ของชาติได้หรือไม่
การพัฒนาด้านการศึกษานับเป็นความท้าทายของทุกพรรคการเมืองที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาล
ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่นโยบายที่ใช้หาเสียง
แต่อยู่ที่ผลลัพธ์ที่จะปรากฏออกมาภายหลัง
ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับความจริงจังและความจริงใจว่าต้องการเข้ามายกระดับมันสมองของชาติมากน้อยเพียงใด
|