เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
คำพิพากษาของศาลอาญาที่ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง
(กกต.)
ทั้ง
3
ท่าน
ถูกจำคุกเป็นเวลา
4
ปีโดยไม่รอลงอาญา
และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
10
ปี
รวมถึงการที่ศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันตัว
กกต.
ทั้ง
3
ท่าน
ส่งผลให้
กกต.
หมดคุณสมบัติในการทำหน้าที่ต่อไปได้
จากเหตุการณ์นี้ผมเชื่อว่า
ทำให้หลายคนมองอนาคตการเมืองอย่างมีความหวัง
เห็นทางออกของบ้านเมืองหลังจากที่สถานการณ์อึมครึมมานาน
เพราะหลายฝ่ายต่างเห็นตรงกันว่า
กกต.
ในฐานะองค์กรดูแลการเลือกตั้ง
ปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ชอบธรรม
เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มคนบางกลุ่มอย่างชัดเจน
ดังนั้นการที่
กกต.ชุดนี้หมดสภาพลงจึงเปรียบเหมือนการปลดล็อคตัวสำคัญ
ทำให้สถานการณ์การเมืองเดินต่อไปได้
แม้เหตุการณ์ปัจจุบันดูเหมือนจะถูกคลี่คลายลง
แต่เหตุการณ์ในอนาคตยังมีอีกหลายปัญหาที่ยังไม่ชัดเจน
และอาจลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดียุบพรรคไทยรักไทย
ประชาธิปัตย์
และพรรคเล็ก
3
พรรค
ที่อยู่ระหว่างรอคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ
ยังไม่นับรวมถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตที่ยังเป็นข้อสงสัยของสังคม
อาทิ
ความไม่โปร่งใสของการขายหุ้นชินคอร์ป
การละเมิดสิทธิมนุษยชน
ผลประโยชน์ทับซ้อนในการดำเนินนโยบาย
การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตอย่างมีเงื่อนงำ
ฯลฯ
ผมจึงเห็นว่า
การจัดการกับ
กกต.เป็นเพียง
1
ในหลายปัญหาที่ยังต้องรอการคลี่คลาย
โดยเฉพาะต้นเหตุของความวุ่นวายทางการเมืองที่ยังไม่ถูกจัดการ
เปรียบได้กับผู้บงการใหญ่ยังไม่ถูกจับกุม
ปัญหาความขัดแย้ง
ความวุ่นวายต่าง
ๆ
รวมถึงการแทรกแซงการปฏิบัติงานขององค์กรอิสระจะยังคงกลับมาอีกครั้ง
เมื่อเป็นเช่นนั้น
สถานการณ์การเมืองไทยไม่ต่างจากการพายเรือในอ่าง
วนไปวนมา
ไม่พบทางออกของปัญหา
นอกจากทางตัน
การจัดการกับผู้บงการใหญ่จึงเป็นภารกิจสำคัญที่ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะการขึ้นสู่อำนาจของผู้บงการใหญ่ได้มีการวางแผนอย่างแยบยล
อาทิ
การวางนโยบายเพื่อได้คะแนนเสียงระดับรากหญ้า
การจัดสรรกำลังคนของตนเองไว้ในตำแหน่งสำคัญ
ๆ
เกือบทุกภาคส่วน
แต่การจัดการกับผู้บงการใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
นอกจากจะอาศัยอำนาจทางตุลาการ
อีกหนทางหนึ่งคือการแสดงพลังของประชาชน
ซึ่งผมคิดว่าวันที่
15
ตุลาคม
49
เป็นวันที่ดีที่จะจัดการกับผู้บงการใหญ่
ผ่านการออกไปเลือกตั้ง
ต่อต้านระบอบที่ไม่ชอบธรรม
รวมถึงเชิญชวนคนที่ท่านรู้จักร่วมกันแสดงพลัง
ไม่สนับสนุนระบอบดังกล่าวด้วย
|