เป็นที่ทราบกันดีว่าวันที่
4
ก.พ.
49
จะมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่แสดงพลังประชาชนครั้งยิ่งใหญ่ที่หน้าลานพระบรมรูปทรงม้า
นำโดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร
จะนำประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสน เพื่อถวายฎีกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านพล.อ.เปรม
ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
แรกเริ่มของการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรในเดือนกันยายน
2548
เกิดขึ้นเนื่องจากการสั่งให้ยุติการออกอากาศทางช่อง
9
ในช่วงแรกมีผู้ฟังเพียงหลักร้อยจนกลายเป็นหลักหมื่น
ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่พอใจต่อกระบวนการใช้อำนาจของรัฐที่ไม่เป็นธรรม
ร่วมออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลตอบปัญหาต่าง ๆ ที่มีข้อสงสัยต่อการบริหารประเทศ
เรียกร้องให้มีการแก้ไขและยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
และรวมไปถึงการถวายฎีกาเพื่อที่จะบอกกล่าวถึงความเดือดร้อนของประชาราษฎร์อันสืบเนื่องมาจากบริหารประเทศของรัฐบาล
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
เพราะเป็นครั้งแรกของการเมืองไทยที่ผู้นำการเคลื่อนไหวคือนักสื่อสารมวลชน
ไม่ใช่นักการเมือง นิสิตนักศึกษา นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ฯลฯ หากจะหาสาเหตุของปรากฏการณ์ดังกล่าว
อาจเป็นเพราะ
ประการแรก
ความพยายามปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลผ่านทางสื่อสารมวลชนในแขนงต่าง ๆ
ประการที่สอง การใช้อำนาจของรัฐในการแสวงหาประโยชน์จากส่วนเกินทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะการออกนโยบายหรือตรากฎหมายที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจของกลุ่มทุนต่าง ๆ
กลายเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนที่ผู้มีอำนาจได้ประโยชน์
ประการที่สาม การใช้อำนาจในการแต่งตั้งที่เอื้ออำนวยต่อพวกพ้องและคนรอบข้างมากกว่าการพิจารณาจากความรู้ความสามารถและคุณธรรมในการดำรงตำแหน่ง
ประการที่สี่
ความไม่เอาจริงเอาจังในการปราบปรามการคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด
ประการที่ห้า การแทรกแซงการจัดรายการด้วยการใช้กลุ่มคนจำนวนหนึ่งเข้ามาก่อสถานการณ์เพื่อสร้างความหวาดกลัวและความวุ่นวายในสถานที่จัดรายการ
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น
มีแนวโน้มว่าจะทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองมีพลังมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เป็นการแสดงสัญลักษณ์บางอย่างที่สะท้อนความไม่พอใจต่อความชอบธรรมในการบริหารประเทศแม้จะมาจากการเลือกตั้งที่มีเสียงสนับสนุนถึง
19
ล้านคะแนนก็ตาม
ในขณะที่กระบวนการทำงานของรัฐสภาก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนอันเนื่องมาจากเสียงข้างมากของฝ่ายรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ในทางกฎหมายแล้ว
สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบย่อมไม่ผิดแต่ประการใด แต่สิ่งที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง
คือผู้นำการเคลื่อนไหวต้องระมัดระวังในการชุมนุมเคลื่อนไหวมิให้เกิดการใช้ความรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับฝ่ายที่คัดค้าน
ในการพยายามควบคุมฝูงชนให้อยู่ในความสงบ
มิฉะนั้นแล้วอาจจะเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
ในขณะเดียวกัน
ภาครัฐจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจธรรมชาติของการเคลื่อนไหวทางการเมือง
ซึ่งต้องมีจุดประสงค์ที่จะต้องสื่อสารเนื้อหาสาระไปยังผู้มีอำนาจ
ดังนั้นภาครัฐไม่ควรที่จะไปกีดกันการแสดงออกทางการเมืองดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการปิดกั้นสถานที่ไม่ให้เกิดการชุมนุม
และรวมไปถึงการจัดตั้งม๊อบเข้ามาเผชิญหน้ากันซึ่งอาจจะทำให้เกิดความรุนแรงและความสูญเสียของชีวิต
สังคมไทยควรจะเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้กับประชาชนและสื่อสารมวลชน
ในการวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น และการแสดงออกทางการเมือง
แต่หากรัฐบาลมีวิธีคิดแบบคู่ตรงข้ามที่แบ่งขั้วอย่างชัดเจนที่มีลักษณะแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
แบ่งขั้วแบ่งข้าง จนแยกเป็นรัฐบาล-ประชาชน
ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดการรับฟังความเดือดร้อนหรือมืดบอดต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
ถึงเวลาแล้วที่การเมืองไทยอาจจะไม่ใช่เพียงการเมืองแบบตัวแทนเท่านั้น
แต่เป็นการเมืองที่ภาคพลเมืองเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน สนใจปัญหา
และเอาจริงเอาจังกับปัญหาของบ้านเมือง
ซึ่งรัฐบาลจะต้องยอมเปิดพื้นที่การเมืองดังกล่าวให้ทุกฝ่ายในสังคมเข้ามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น
วิพากษ์วิจารณ์
โดยไม่ใช้กำลังหรือกลไกของรัฐในการกดดันหรือปราบปรามกลุ่มที่คิดเห็นหรือแสดงออกต่างไปจากตน
แต่ควรพึงที่จะทำให้สังคมไทยเปิดกว้างจนกลายเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง