เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
หลังจากที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ได้ล้มรัฐบาลนายกรัฐมนตรี
ทักษิณ
ชินวัตร
เมื่อวันที่
19
กันยายนที่ผ่านมา
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาแทบจะทันที
นั่นคือ
ปฏิกริยาของประชาคมโลกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมักมีแนวโน้มไปในทิศทางไม่เห็นด้วย
เพราะเห็นว่าการกระทำ
เช่นนี้
เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย
อาทิ สหภาพยุโรป
ได้ออกแถลงการณ์ประณาม
นายโคฟี่
อันนัน
(Kofi
Annan)
เลขาธิการสหประชาชาติ
กล่าวว่า
การทำรัฐประหารไม่ใช่สิ่งที่น่าสนับสนุน
นายโทนี่ สโนว์
โฆษกทำเนียบขาวแถลงว่า
สหรัฐรู้สึกผิดหวังต่อการกระทำดังกล่าว
และพยายามเรียกร้องให้ทหารคืนอำนาจให้ประชาชน
โดยการจัดการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด
ผู้นำอีกหลายประเทศกล่าวทำนองเดียวกัน
จนดูราวกับว่า
การล้มรัฐบาลครั้งนี้เป็นสิ่งที่เลวร้ายและยอมรับไม่ได้เลย
ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ประเด็นของผมไม่ได้พูดเพื่อต้องการให้ตัดสินว่า
การรัฐประหารที่เกิดขึ้นในเมืองไทยนั้น
ถูก หรือ
ผิด
แต่ต้องการชี้ประเด็นว่า
ตอนนี้เรามองระบอบประชาธิปไตย
เป็น
“
วิธีการ
”
หรือ
“
เป้าหมาย
”
ปรัชญาเบื้องหลังแนวคิดด้านการปกครอง
หากย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเริ่มต้น
ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของโสเครตีส,
เพลโต้,
อริสโตเติ้ล
จนถึงกลุ่ม
Classical
theorist
เช่น
จอห์น
ล็อค,
โทมัส
ฮอบบ์และคนอื่น
ๆ
ต่างล้วนมีแนวคิดหาทางสร้างรัฐที่จะทำให้มนุษย์มีความสุข
เหมาะกับธรรมชาติของมนุษย์มากที่สุด
สังคมที่ยุติธรรม
สังคมที่มีคุณธรรม
สังคมที่คนมีความสุข
จึงนับเป็นเป้าหมาย
ส่วนแนวคิดเรื่องรูปแบบการปกครองว่ารูปแบบใดจึงดีที่สุดนั้นเป็นวิธีการเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย
บรรดาระบอบใด
ๆ
ที่ไม่ได้นำไปสู่เป้าหมาย
ที่พึงปรารถนาของสังคมจะถูกทำลายลงในที่สุด
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ว่า
ระบอบประชาธิปไตยดีกว่าระบอบการปกครองรูปแบบอื่น
ๆ
ล่าสุดเมื่อระบอบคอมมิวนิสต์
สหภาพโซเวียตล่มสลาย
เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงชัยชนะของระบอบประชาธิปไตย
เหนือระบอบการปกครองอื่น
ๆ
ทั่วโลก
เพราะเป็นระบอบการปกครองเดียวที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน
ชัยชนะของระบอบประชาธิปไตยในครั้งนี้
กลับส่งผลที่ตามมาและทำให้เรายอมรับโดยไม่รู้ตัว
คือ
การที่เรามองระบอบประชาธิปไตยเป็นเป้าหมาย
แทนที่จะเป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่นำไปสู่เป้าหมายเท่านั้น
ในความเป็นจริงแม้ผมจะนิยมระบอบประชาธิปไตยอย่างมากแต่เราก็ต้องยอมรับว่า
ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่ระบอบที่ดีที่สุด
แต่เป็นระบอบที่เลวน้อยที่สุดในบรรดาระบอบการปกครองที่มีอยู่ในขณะนี้
ประชาธิปไตยในประเทศไทยเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า
ความเลวร้าย
หรือข้อผิดพลาดของระบอบนี้ยังคงมีอยู่
และมีผลกระทบต่อเป้าหมายของสังคมที่ทุกคนต่างปรารถนา
การรัฐประหารที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อวันที่
19
กันยายนที่ผ่านมา
จึงเป็นเพียง
“
วิธีการ
”
หนึ่งที่เข้ามาแทรกแซงระบอบการปกครองที่ไม่เอื้อต่อการตอบสนองเป้าหมายของสังคม
สิ่งที่รัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ
ได้กระทำส่อให้เห็นว่า
ไม่ได้นำไปสู่สังคมที่ควรจะเป็น
และไม่สามารถนำไปสู่เป้าหมายของสังคมที่ดีได้
ถ้าคนไทยมองประชาธิปไตยเป็นเพียง
“
เป้าหมาย
”
โดยยึดมั่นว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
ในทุก ๆ
เวลา
การประท้วงจะไม่เพียงยืดเยื้อแต่อาจเกิดความรุนแรงจนถึงขั้นนองเลือด
หรือในทางตรงข้ามอาจถูกจัดการด้วยอำนาจที่อ้างเสียงส่วนใหญ่
ปิดหู
ปิดตา
ปิดปากประชาชน
และเปิดโอกาสให้อำนาจเผด็จการนี้ดำรงอยู่ต่อไป
อาจนานนับสิบปี
แม้ว่าโดยปกติ
วิธีการใด
ๆ
ก็ตามที่ขัดแย้งกับวิถีประชาธิปไตยนั้น
ไม่ใช่ค่านิยมที่ทุกฝ่ายควรยอมรับ
แต่ถึงกระนั้น
หากเรามองเจตนาของผู้ก่อการว่า
วิธีนี้เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้อำนาจอธิปไตยกลับมาเป็นของประชาชนได้ดังเดิมหากจัดการอย่างถูกต้อง
ดังนั้น
หากเราไม่มองประชาธิปไตยเป็นเพียง
“
เป้าหมาย
”
แต่มองเป็น
“
วิธีการ
”
ซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมายของสังคม
การที่บุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งมีคุณธรรม
และมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนเข้ามาแทรกแซง
และรีบคืนอำนาจให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด
วิธีการเช่นนี้อาจทำให้เราพิจารณาว่า
สามารถเป็นที่ยอมรับมากกว่าการถูกประณามอย่างเร่งรีบ
ได้หรือไม่?
|