Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

ขอคิดอย่างสร้างสรรค์

 

วอนรัฐบาลอย่าพาการศึกษาดิ่งลงเหว
Don’t  jeopardize education

 

28 มิถุนายน 2549

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก              

       การถ่ายโอนอำนาจการศึกษาสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กลับสู่ความสนใจของสังคมอีกครั้ง เมื่อคณะรัฐมนตรีรักษาการได้มีมติให้มีการถ่ายโอนได้ในบางส่วน ขณะที่หลายส่วนให้มีการทบทวนกันใหม่การดำเนินการถ่ายโอนโรงเรียนแก่ อปท. สะท้อนแนวคิดในการดำเนินงานของรัฐบาลดังนี้

ความไม่รอบคอบและไม่ดำเนินงานอยู่บนฐานการวิจัย เห็นได้จากการไม่มีหลักเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนโรงเรียนที่ถ่ายโอนให้แก่ อปท. แม้ว่ามติ ครม. เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2548 ได้กำหนดโควต้าสำหรับ อปท. โดยยึดตามประสบการณ์ในการจัดการศึกษา แต่ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้มีการวิจัยรองรับ เป็นเพียงตัวเลขที่เกิดจากการต่อรองระหว่างคณะกรรมการการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น (กกถ.) และกระทรวงศึกษาธิการ ล่าสุดการรักษาการนายกฯ ได้เปรยในที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 20 มิ..ที่ผ่านมาว่า ‘กรณี อปท.ที่รับโอนโรงเรียนไม่เกิน 10 โรงเรียนให้สามารถถ่ายโอนได้ หากเกินจากนี้ให้มีการศึกษาความพร้อมต่อไป’ คำถามคือตัวเลขดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร เหตุใดจึงกำหนดให้ถ่ายโอนได้ในจำนวนดังกล่าว

ผมเห็นว่า วิธีการทำงานที่ไม่มีฐานการวิจัยรองรับ หรือไม่ได้อยู่บนฐานข้อมูลที่ดีนั้น อาจสร้างความเสียหายต่อประเทศในระยะยาว ผู้เรียนไม่ควรกลายเป็นหนูทดลองระบบ ดังตัวอย่างของความวุ่นวายที่เกิดจากระบบแอดมิชชั่นก่อนหน้านี้ไม่นาน และในส่วนของ อปท.นั้น อาจไม่ยุติธรรมสำหรับ อปท. ที่สามารถรับผิดชอบจำนวนโรงเรียนที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นการระบุจำนวนที่ตายตัวเกินไปอาจไม่เหมาะสม แต่รัฐบาลควรใช้หลักเกณฑ์หรือมาตรฐานอื่นที่เข้มงวดมากกว่าในการกำหนดเงื่อนไข และในระยะแรกควรมีหลักเกณฑ์ในการประเมินและการตรวจสอบที่เข้มงวดเพื่อรักษามาตรฐานด้านการศึกษา

การสร้างค่านิยมที่ผิดแก่วงการการศึกษา เห็นได้จากข้อสรุปของที่ประชุมที่ให้ถ่ายโอนโรงเรียนในฝันได้ เพราะข้อเสนอของ อปท.ที่เสนอจะช่วยเหลือโรงเรียนทั้งในด้านการจัดสรรบุคลากรที่ขาดแคลนและงบประมาณ โดยเฉพาะการที่ อปท.เสนอที่จะชำระหนี้ของโรงเรียนเหล่านั้นหากยอมให้ถ่ายโอนไปอยู่กับ อปท. เหตุผลดังกล่าวถือว่า เป็นการสร้างค่านิยมที่ไม่ดีแก่โรงเรียน คือ การตัดสินใจโดยใช้ผลประโยชน์ทางการเงินเป็นที่ตั้ง แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพิจารณาว่าเมื่อถ่ายโอนไปแล้วการศึกษาจะมีคุณภาพหรือไม่

ผมเห็นว่า โครงการของรัฐบาลหลายโครงการมีวัตถุประสงค์ที่ดีในการพัฒนาการศึกษา แต่ในทางปฏิบัติกลับใช้วิธีการหรือสร้างค่านิยมที่ผิด โดยเฉพาะการเน้นการสร้างวัตถุและจัดซื้ออุปกรณ์ แต่ไม่ได้พัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพขึ้นมาได้จริง

ดังเช่น โครงการโรงเรียนในฝัน ที่มีแนวคิดเพื่อยกระดับโรงเรียนคุณภาพปานกลางให้เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพดี แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ รัฐจัดสรรงบประมาณให้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น และเกณฑ์การประเมินคุณภาพโรงเรียน เน้นการพิจารณาวัสดุอุปกรณ์ โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของบริบทแต่ละโรงเรียน ทำให้โรงเรียนหลายแห่งเน้นการจัดซื้อวัสดุ คอมพิวเตอร์เข้าโรงเรียน เพื่อเร่งพัฒนาโรงเรียนให้ผ่านเกณฑ์ประเมินเป็นโรงเรียนในฝัน แทนที่จะพัฒนาการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น รวมทั้งขาดกลไกให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาอย่างจริงจัง ทำให้การระดมทรัพยากรจากภาคส่วนต่าง ๆ ทำได้ยาก ผลที่ตามมาคือ หนี้สินกองโตที่ผู้บริหารต้องแบกรับ ดังกรณีผู้บริหารโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนราธิวาส ผูกคอตายเนื่องจากเครียดที่เป็นหนี้จัดซื้อคอมฯ เข้าโรงเรียนกว่า 3 ล้านบาท เพื่อให้โรงเรียนผ่านการประเมิน

ทีผ่านมารัฐบาลได้รับบทเรียนจำนวนมากที่เกิดจากการดำเนินงานที่ผิดพลาด และขาดการฟังเสียงจากประชาชน ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องกลับมาคิดทบทวนนโยบายและไม่เดินซ้ำรอยเก่า โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับลูกหลาน ซึ่งถือว่าเป็นอนาคตของชาติ จึงต้องมีความรอบคอบ จริงใจที่จะเห็นการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ระยะสั้น เพื่อพวกพ้องหรือเห็นแก่ฐานเสียงทางการเมืองเมื่อใกล้ถึงเวลาเลือกตั้ง เพราะนั่นอาจเป็นการสร้างปัญหาในระยะยาว และดึงระบบการศึกษาดิ่งลงสู่ห้วงเหวลึก และยิ่งห่างไกลจากคำว่า “ปฏิรูปการศึกษา”

 



-------------------------------