เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ร่วมกับธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์
จัดทำโครงการความร่วมมือพัฒนาประเทศด้านการวิเคราะห์ ความยากจนและติดตามประเมินผล
เพื่อเป็นโครงการเสริมสร้างศักยภาพในการแก้ไขปัญหาความยากจนของรัฐบาลและความร่วมมือทางด้านวิชาการ
ฯลฯ
ธนาคารโลกได้ให้ความเห็นว่า แม้สัดส่วนคนยากจนในประเทศไทยได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่คิดว่าคนยากจนจะหมดไปในปี 2552 ตามเป้าหมายของรัฐบาล
ในขณะที่ความไม่เทาเทียมกันของรายได้ยังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ
ผมเห็นว่า สัดส่วนคนยากจนที่ลดลงนั้นเป็นเรื่องปกติ
เพราะเป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
แต่ประเด็นปัญหาที่ต้องได้รับความสนใจและเอาใส่ใจ คือ จะทำอย่างไร
เพื่อลดช่องว่างของการกระจายรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจน ที่นับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ที่ผ่านมา ดูเหมือนรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้
ผ่านนโยบาย อาทิ กองทุนหมู่บ้าน, SML และนโยบายการให้สินเชื่ออื่น ๆ ของรัฐบาล
ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาด้วยการแจกเงิน กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย
ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจดี ประชาชนมีเงินใช้จ่าย
แต่ผลกลับทำให้ประชาชนเป็นหนี้เพิ่มขึ้น
วิธีการนี้ไม่ได้แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้อย่างยั่งยืน
เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถนำเงินมาแจกประชาชนได้ตลอด
นอกจากนี้รัฐบาลยังใช้นโยบายคิดเอาเองว่าประชาชนควรได้อะไร และใช้นโยบายเหมือน ๆ
กันกับประชาชนทุกกลุ่ม เช่นการแจกเงินให้กับทุกหมู่บ้านเท่ากัน หรือแบ่งตามขนาดเล็ก
กลาง ใหญ่ ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่เหมาะสม เพราะแต่ละหมู่บ้านต้องการเงินไม่เท่ากัน
เนื่องจากความเจริญไม่เท่ากัน
และความต้องการของหมู่บ้านไม่สามารถวัดได้ผ่านขนาดของหมู่บ้าน
รวมถึงแต่ละหมู่บ้านต้องการทรัพยากรไม่เหมือนกัน
และทรัพยากรบางอย่างไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน อาทิ โอกาสในการเข้าถึงการศึกษา
,ทักษะและความรู้ในการประกอบอาชีพ ฯลฯ
ฉะนั้นในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้
รัฐบาลควรฟังว่าประชาชนต้องการอะไร เปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น
เปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนในการวิพากษ์วิจารณ์
เพื่อปรับปรุงนโยบายให้เกิดประโยชน์ และตรงตามความต้องการของประชาชน
รวมทั้งใช้นโยบายที่แตกต่างแต่เหมาะสมกับประชาชนแต่ละกลุ่ม
โดยช่องทางหนึ่งในการรับฟังความเห็นของประชาชนที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ คือ
สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเปรียบเหมือนสภาของประชาชน
ที่มีความใกล้ชิดกับปัญหา และมีหน้าที่โดยตรงในการให้คำปรึกษา
และเสนอแนะความคิดเห็นต่อรัฐบาล
และเป็นที่น่ายินดีที่สภาที่ปรึกษาฯในชุดที่ 2
ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานใหม่ที่ชื่อว่า
คณะทำงานกระจายรายได้ที่มีเพื่อนของผมที่ให้ความเคารพนับถืออย่างมากชื่อ ดร.นลินี
ทวีสินเป็นประธานคณะทำงาน ซึ่งคณะทำงานภายใต้การนำของ ดร.นลินี ทวีสิน
ท่านนี้มีหน้าที่รับผิดชอบในการศึกษาแนวทางแก้ปัญหาความแตกต่างทางรายได้
การกระจายทรัพยากร และการดำเนินงานทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม
รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจฐานรากของประชาชน คือ เกษตรกร
ผู้ใช้แรงงาน และผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย
สภาที่ปรึกษาฯจึงน่าจะเป็นนี้จะเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่จะมีส่วนช่วยสนับสนุนรัฐบาล
ในการแก้ปัญหาการกระจายรายได้และปัญหาความยากจน
หากรัฐบาลจะหัดฟังเสียงประชาชนเสียบ้าง