เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เมื่อวันที่
20
กรกฎาคม
2549
คณะกรรมการค่าจ้างกลางมีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำใน
35
จังหวัด
แต่ไม่ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำใน
41
จังหวัดที่เหลือ
โดยอ้างว่าคณะอนุกรรมการค่าจ้างในจังหวัดดังกล่าวมิได้ส่งเรื่องเพื่อขอขึ้นค่าจ้าง
เนื่องด้วยลูกจ้างในจังหวัดเหล่านั้นไม่มีปัญหาเรื่องค่าครองชีพและปัญหาเงินเฟ้อ
แต่ในเวลาต่อมา
นายสมศักดิ์
เทพสุทิน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
ได้ออกคำสั่งให้คณะกรรมการค่าจ้างกลางทบทวนการขึ้นค่าจ้างใน
35
จังหวัด
พร้อมยืนยันว่าการขึ้นค่าจ้างควรต้องทำพร้อมกันทั่วประเทศ
ไม่ควรเลือกปฏิบัติหรือปรับให้เพียงบางจังหวัดเท่านั้น
ผมไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
ที่จะให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำพร้อมกันทั้งประเทศ
แต่ผมเห็นว่าค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละจังหวัดควรปรับขึ้นหรือไม่ปรับขึ้นนั้น
จะต้องพิจารณาอยู่บนหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและเป็นธรรม
และไม่ว่ารัฐมนตรีได้สั่งให้มีการทบทวนการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำด้วยแรงจูงใจอันใด
แต่ผมไม่เห็นว่า
รัฐมนตรีได้ให้หลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำรอบใหม่นี้
อย่างไรก็ตาม
หากพิจารณาเหตุผลที่คณะกรรมการค่าจ้างกลางอ้างเพื่อที่จะไม่ปรับขึ้นค่าจ้างใน
41
จังหวัดนั้น
ดูเหมือนว่าจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ด้วยเหตุที่แรงงานในพื้นที่บางจังหวัดที่ไม่ได้มีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้น
กลับประสบปัญหาค่าครองชีพมากกว่าในจังหวัดที่ได้รับการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเสียอีก
ทั้งนี้
เมื่อเราพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อรายจังหวัด
ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในแต่ละจังหวัด
จะพบว่า
จังหวัดที่มีมติให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
มีค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้อในช่วง
6
เดือนแรกของปี
2549
ประมาณร้อยละ
5.95
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่จังหวัดที่ไม่ได้มีมติให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำกลับมีค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้อในช่วงเดียวกันสูงกว่า
คือประมาณร้อยละ
6.59
หรือหมายความว่า
จังหวัดที่มีราคาสินค้าสูงขึ้นมากกลับไม่ได้ถูกปรับค่าจ้างขั้นต่ำ
แต่จังหวัดที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำกลับเป็นจังหวัดที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นน้อยกว่า
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน
คือจังหวัดบางแห่งมีอัตราเงินเฟ้อสูงมาก
แต่คณะกรรมการค่าจ้างกลับไม่มีมติให้ปรับเพิ่มค่าจ้างขึ้นต่ำ
เช่น
จังหวัดพัทลุงที่อัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดในประเทศถึงร้อยละ
12.2
ระยองที่อัตราเงินเฟ้อสูงเป็นอันดับ
2
ของประเทศที่ร้อยละ
9.6
หรือสระบุรี
ปทุมธานี
พังงา
นครนายก
พะเยา
ตรัง
ที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ
8.4-9.2
เป็นต้น
ขณะที่จังหวัดที่มีอัตราเงินเฟ้อติดกลุ่มต่ำสุดของประเทศ
เช่น
น่าน
แพร่
นครพนม
และอำนาจเจริญ
ที่มีอัตราเงินเฟ้อเพียงร้อยละ
3.3-3.7
เท่านั้น
กลับได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
ปัญหาการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำที่ดูเหมือนขาดความที่สมเหตุสมผลเช่นนี้
สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากการกระจายอำนาจให้คณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบในการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างในแต่ละจังหวัด
แต่รัฐบาลกลับไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำลงไปด้วย
ด้วยเหตุนี้อนุกรรมการค่าจ้างของแต่ละจังหวัดจึงใช้หลักเกณฑ์ที่แตกต่างกันในพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำ
ผมจึงขอเสนอว่า
กระบวนการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำควรอยู่บนหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน
คณะกรรมการค่าจ้างกลางจะต้องกำหนดหลักเกณฑ์และสูตรคำนวณที่ใช้ที่เป็นมาตรฐานในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอย่างชัดเจน
และเป็นมาตรฐานที่ยอมรับทั้ง
3
ฝ่าย
เพื่อให้การพิจารณาของอนุกรรมการฯ
อยู่บนหลักเกณฑ์ที่มีความชัดเจนและสามารถวัดได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์
ผมตั้งข้อสังเกตอีกประการหนึ่งว่า
การกระจายอำนาจของคณะกรรมการค่าจ้างโดยปราศจากหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน
ยังอาจทำให้คณะกรรมการค่าจ้างจังหวัดบางแห่งไม่ได้นำข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจมาพิจารณาอย่างแท้จริง
แต่การพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างมักขึ้นกับอำนาจการต่อรองของฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างเป็นสำคัญ
ในคณะกรรมการค่าจ้างจังหวัดที่ฝ่ายนายจ้างมีอำนาจการต่อรองสูง
โอกาสที่ฝ่ายลูกจ้างจะถูกกดขี่ย่อมมีมากกว่าจังหวัดที่นายจ้างมีอำนาจการต่อรองน้อย
อย่างไรก็ตาม
ผมไม่ได้คัดค้านการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำเป็นรายจังหวัด
ในทางตรงกันข้าม
ผมได้เคยเสนอแนะต่อกระทรวงแรงงานให้มีการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำเป็นรายอำเภอและรายอุตสาหกรรมเสียด้วยซ้ำ
เพราะในจังหวัดเดียวกัน
พื้นที่ในเขตเมืองและเขตชนบทยังมีระดับค่าครองชีพที่แตกต่างกัน
และแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันจะมีผลิตภาพของแรงงาน
(Labour
productivity)
ที่แตกต่างกัน
จึงควรได้รับค่าจ้างที่แตกต่างกัน
แต่เนื่องด้วยความจำกัดของระบบการจัดเก็บข้อมูลเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ผมเสนอว่ารัฐบาลควรเริ่มต้นจากการพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลเศรษฐกิจและสังคมรายจังหวัด
ให้มีข้อมูลดัชนีชี้วัดต่าง
ๆ
ที่ทันสมัยและครบถ้วนเพียงพอตามหลักเกณฑ์
หรือเพียงพอสำหรับการคำนวณตามสูตรค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างกลางกำหนดขึ้นตามข้อเสนอที่ผมได้เสนอข้างต้น
และในระยะต่อไปจึงพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลเศรษฐกิจและสังคมให้มีความละเอียดถึงระดับอำเภอและระดับอุตสาหกรรม
ประการสุดท้าย
ผมเสนอว่าควรกำหนดคุณสมบัติของคณะกรรมการและอนุกรรมการค่าจ้างฯ
โดยกำหนดองค์ประกอบและคุณสมบัติของกรรมการและอนุกรรมการค่าจ้างที่รัดกุมมากขึ้น
เนื่องจากคณะอนุกรรมการฝ่ายลูกจ้างส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นลูกจ้างที่รับค่าจ้างขั้นต่ำ
ทำให้ไม่เข้าใจความต้องการของลูกจ้างที่แท้จริง
คุณสมบัติคณะกรรมการและอนุกรรมการจึงควรได้รับการปรับปรุงเสียใหม่
เพื่อทำให้ได้คนที่เป็นตัวแทนของลูกจ้างและนายจ้างส่วนใหญ่อย่างแท้จริง
การมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
จะทำให้อัตราค่าจ้างมีความเหมาะสมเป็นผลดีต่อลูกจ้าง
ไม่เป็นภาระของนายจ้างมากเกินไป
และไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ประการสำคัญ
ค่าจ้างขั้นต่ำจะไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการหาเสียงอีกต่อไป
|