เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
การแสดงท่าทีต่อสื่อต่างประเทศของอดีตรักษาการนายกฯ
ว่า
อยากเห็นสหประชาชาติเข้ามาจัดการการเลือกตั้งในประเทศไทยนั้น
ถือว่าเป็นการบั่นทอนภาพพจน์ของประเทศ
และกำลังทำให้ต่างประเทศไม่เชื่อมั่นในอำนาจอธิปไตยของไทย
จากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรี
กล่าวให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ
เมื่อวันที่
21
กันยายน
โดยได้ยอมรับสถานะของตนเองว่า
ได้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และกล่าวทีเล่นทีจริงว่า
“หากประเทศไทยมีการเลือกตั้งภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ
ก็เชื่อว่าพรรคไทยรักไทยมีโอกาสจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง”
นับเป็นการบ่งชี้ว่า
อดีตนายกฯ
กำลังเหยียบย่ำภาพพจน์ของประเทศ
การแสดงความคิดเห็นของ
พ.ต.ท.ทักษิณฯ
ในฐานะอดีตผู้นำประเทศ
จึงเป็นเสมือนการส่งสัญญาณลบต่อนานาชาติ
สะท้อนมุมมองของอดีตผู้นำประเทศที่มองสภาวะการเมืองด้วยจิตใจที่คับแคบ
โดยการเรียกร้องให้นานาประเทศเห็นใจตนเอง
โดยไม่คำนึงถึงภาพพจน์ของประเทศชาติ
หากมองในหลักการการจัดการเลือกตั้งโดยสหประชาชาตินั้น
ส่วนใหญ่มักมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงภายในประเทศ
และมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองและสงครามระหว่างรัฐ
จนประเทศนั้นไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ด้วยตนเอง
หรือหลังจากสงครามกลางเมืองสงบแล้ว
จำเป็นต้องฟื้นฟูการปกครองในระบอบประชาธิปไตยขึ้นใหม่
จึงจำเป็นต้องพึ่งพาสหประชาชาติซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีความเป็นกลางในสายตาของชาวโลกทั่วไป
ให้เข้ามาเป็นตัวแทนในการจัดการการเลือกตั้ง
ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศอัฟกานิสถาน
อิรัก
ปาเลสไตน์
บุรุนดี
แต่ไม่มีความจำเป็นใด
ๆ
เลยสำหรับประเทศไทยในเวลานี้
แม้หลายฝ่ายจะมองว่า
การยึดอำนาจที่ทำโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
เป็นเสมือนการก้าวถอยหลังของระบอบประชาธิปไตย
เนื่องจากเป็นวิธีการเปลี่ยนรัฐบาลหรือผู้ปกครองประเทศที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
หรือระเบียบแบบแผนตามหลักนิติรัฐ
แต่กระแสตอบรับจากสังคมไทยในเวลานี้
ถือเป็นการคลี่คลายปัญหาทางการเมือง
นอกจากนี้การแสดงจุดยืนของคณะปฏิรูปฯที่จะคืนอำนาจให้แก่ประชาชนโดยเร็ว
เป็นสิ่งบ่งชี้ได้ระดับหนึ่งว่า
สถานการณ์ภายในประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
การดำเนินการของคณะปฏิรูปฯ
ยังอยู่ในขอบเขต
ที่รัฐสามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตนเอง
อีกทั้ง
สหประชาชาติเองไม่ได้แสดงท่าทีในการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจัดการการเลือกตั้งในไทยจากเหตุการณ์ยึดอำนาจแต่อย่างใด
ผมจึงไม่เห็นความจำเป็นตามที่อดีตผู้นำประเทศอย่าง
พ.ต.ท.ทักษิณได้แสดงท่าทีต้องการให้มีการแทรกแซงกิจการภายในประเทศแต่อย่างใด
นอกจากเพื่อประโยชน์ของตนเอง
การกระทำเช่นนั้นไม่เพียงส่งผลเสียต่อภาพพจน์ของไทยในสายตาต่างชาติ
แต่ยังเป็นการสร้างภาพลบแก่ตัว
พ.ต.ท.ทักษิณฯ
เอง
เพราะก่อนหน้านี้อดีตนายกฯ
ท่านนี้ได้มีท่าทีต่อต้านสหประชาชาติ
โดยระบุว่า
“ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ”
ในกรณีที่สหประชาชาติทักท้วงเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน
การฆ่าตัดตอนปัญหายาเสพติด
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณในเวลานั้น
การปรับเปลี่ยนท่าทีอย่างไม่มีเหตุอันควรเช่นนี้
กำลังสะท้อนว่า
ผู้นำท่านนี้ทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ตนเองอยู่รอด
พยายามโยนความผิดให้ผู้อื่น
โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์
ความสงบสุข
อำนาจอธิปไตยของชาติและภาพพจน์ที่ดีของประเทศแต่อย่างใดหรือไม่?
|