เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
การแยกฝ่ายกำกับและดูแลระบบสถาบันการเงินออกจากธนาคารแห่งประเทศไทยมาไว้ที่กระทรวงการคลังนั้น
เป็นประเด็นที่ยังคงมีการถกเถียงกันอยู่
และยังคงไม่ได้ข้อสรุป
แต่อย่างไรก็ตามมีหลายคนที่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านในเรื่องดังกล่าว
ซึ่งผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว
ผมได้ชี้แจงจุดยืนของผมไปแล้ว
ในการอภิปรายเมื่อวันที่
1
มิ.ย.2548
ในวาระรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ฉบับที่
)
พ.ศ.
(ปรับปรุงวัตถุประสงค์ของ
ธ.ก.ส.สัดส่วนของการถือหุ้นของสถาบันการเงินและบุคคลอื่นใน
ธ.ก.ส.)
ซึ่งคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ
ในร่าง พ.ร.บ.นั้นมีการแก้ไขเพิ่มเติมในมาตราหนึ่ง
คือ
มาตรา
13
เกี่ยวกับการเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีในการกำหนดเงินกองทุนและเงินสดสำรอง
ซึ่งอนุญาติให้ในกรณีมีเหตุอันสมควร
รัฐมนตรีอาจกำหนดเงินกองทุนและเงินสดสำรองได้
ซึ่งแต่เดิมนั้นกำหนดให้เป็นไปตามข้อบังคับตามกฎหมาย
ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี
ซึ่งประเด็นนี้มีหลักการคล้ายกับ
การที่รัฐบาลพยายามดึงอำนาจการกำกับและดูแลระบบสถาบันการเงินออกจากธนาคารแห่งประเทศไทยมาไว้ที่กระทรวงการคลัง
ซึ่งจะทำให้กระทรวงการคลังหรือรัฐบาลมีอำนาจในการกำหนดเงินกองทุนและเงินสดสำรองของธนาคารต่าง
ๆ ได้
ในสภาวันนั้น
ผมได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า
ผมไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขกฎหมายในมาตรา
13
นี้
เนื่องจาก
การให้รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดเงินกองทุนและปริมาณเงินสดสำรอง
เป็นการเปิดช่องให้ใช้ดุลยพินิจที่อาจสร้างปัญหาได้
ทั้งนี้การเพิ่มหรือลดอัตราเงินสดสำรองเป็นวิธีที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินอย่างรุนแรง
ทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นหรือลดลง
รวดเร็ว
ดังนั้นการแก้ไขกฎหมายให้รัฐบาลมีอำนาจดังกล่าว
อาจสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
เพราะโดยทั่วไป
รัฐบาลมักมีแรงจูงใจในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัว
เพื่อหวังผลทางการเมือง
ในกรณีที่รัฐบาลเห็นว่า
เศรษฐกิจไม่ดี
ชะลอตัว
อาจไม่เติบโตตามเป้า
รัฐบาลอาจใช้
ธ.ก.ส.เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผ่านการลดเงินกองทุนและปริมาณเงินสดสำรอง ซึ่งจะทำให้เกิดการขยายตัวอย่างมากของสินเชื่อและส่งผลให้เกิดการบริโภคมากขึ้น
เศรษฐกิจโตตามที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าเอาไว้
แต่ว่าวิธีการดังกล่าว
อาจจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
เนื่องจากปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น และปริมาณหนี้ของประชาชนที่อาจเพิ่มสูงขึ้น
ยิ่งในกรณีที่กฎหมาย
ธกส.
จะได้รับการแก้ไข เพื่อให้เอกชนเข้ามาถือหุ้น ธกส.ได้มากขึ้น
และขยายบทบาทการให้สินเชื่อได้กว้างขวางขึ้น
ธกส.จะมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีความใกล้เคียงธนาคารพาณิชย์มากขึ้น
จึงยิ่งไม่ควรให้กระทรวงการคลังเข้ามามีอำนาจในการกำหนดเงินกองทุนและปริมาณเงินสดสำรอง
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น
ผมจึงไม่เห็นด้วยกับการแยกฝ่ายกำกับและดูแลระบบสถาบันการเงินมาไว้ที่กระทรวงการคลัง
เพราะอาจสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในอนาคตได้
|