เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ความสำคัญตนผิดของคุณทักษิณโดยนึกเอาเองว่า
หากตนเองลาออกแล้ว
ประเทศไทยจะพินาศล่มจม
และจะต้องเข้าสู่โปรแกรมของไอเอ็มเอฟอีกครั้งนั้น
ผมกลับคิดว่า
หากนายกฯไม่ออกไป
ประเทศไทยอาจจะต้องเข้าไอเอ็มเอฟอีกอย่างแน่นอน
เพราะนโยบายเศรษฐกิจแบบทักษิโณมิกส์อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศเสียหายรุนแรง
เนื่องด้วยมีความผิดอย่างน้อย
7
ประการของทักษิโณมิกส์
หนึ่ง
อุดมการณ์ที่ผิด
ทักษิโณมิกส์ไม่ใช่แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า
การ
คิดใหม่
ทำใหม่
แต่เป็นเพียงยี่ห้อที่สร้างขึ้นให้ประชาชนรู้สึกตื่นเต้น
ในความเป็นจริง
อุดมการณ์ของทักษิโณมิกส์คือ
ไม่มีอุดมการณ์
เป็นเพียงแนวคิดและนโยบายเลียนแบบของเก่า
ที่นำมากองรวมกันอย่างสะแปะสะปะ
มีจุดยืนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
และนโยบายจำนวนมากยังขัดแย้งกันเอง
เช่น
รัฐบาลเปิดเอฟทีเอนำเข้าโคเนื้อจากออสเตรเลีย
แต่กลับส่งเสริมให้เลี้ยงโคตามโครงการโคล้านครอบครัว
รัฐบาลพยายามแปรรูป
กฟผ.
แต่กลับพยายามซื้อกิจการรถไฟฟ้าบีทีเอสคืนมาเป็นของรัฐ
เป็นต้น
นโยบายเศรษฐกิจที่ไร้จุดยืนเช่นนี้ย่อมสร้างความสับสน
ความไร้เสถียรภาพ
และความไม่เชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ
ซึ่งอาจเป็นที่มาของวิกฤตเศรษฐกิจได้
สอง
สมมติฐานที่ผิด
รัฐบาลมีสมมติฐานในการบริหารเศรษฐกิจเช่นเดียวกับการบริหารบริษัท
ดังนั้นในระบอบทักษิณ
นายกรัฐมนตรีจึงเปรียบเสมือน
เจ้าของบริษัท
หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็น
เจ้าของประเทศ
รัฐมนตรี
นักการเมืองในพรรค
และข้าราชการ
จึงถูกปฏิบัติเสมือนลูกจ้าง
ขณะที่ประชาชนเป็นเพียงลูกค้าของบริษัท
ด้วยสมมติฐานเช่นนี้
นายกฯจึงเป็นผู้มีอำนาจสั่งการเด็ดขาด
และสามารถกำหนดนโยบายที่นำประเทศไปสุ่มเสี่ยงได้
โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อใคร
ทั้งที่ในความเป็นจริง
ประเทศไม่ใช่บริษัท
เพราะบริษัทสามารถล้มละลายและขายสินทรัพย์ทอดตลาดเพื่อปิดบัญชีได้
แต่ประเทศไม่สามารถล้มละลายหรือขายให้ใครได้
สาม
วัตถุประสงค์ที่ผิด
ทักษิโณมิกส์เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมือง
ที่เน้นสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองอย่างสุดโต่ง
และแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน
โดยเน้นเฉพาะผลระยะสั้น
แต่ละเลยผลกระทบระยะยาว
สังเกตได้จากการหว่านเงินก่อนการเลือกตั้ง
เช่น
ขึ้นเงินเดือนกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน
พนักงานและลูกจ้างหน่วยงานราชการ
แจกคอมพิวเตอร์
เพิ่มเงินกองทุนหมู่บ้าน
รวมงบฯเฉพาะโครงการที่มีตัวเลขชัดเจน
5,984.9
ล้านบาท
รวมทั้งการครหาว่ามีคอร์รัปชันและผลประโยชน์ทับซ้อนจำนวนมาก
ที่จะส่งผลให้มีความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้น
เพราะผลประโยชน์ส่วนใหญ่มักตกกับกลุ่มทุนที่พวกของรัฐบาล
สี่
บทบาทรัฐบาลที่ผิด
เพราะรัฐบาลพยายามมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
แต่กลับทำให้ภาคประชาชนกลับอ่อนแอลง
ต้องพึ่งพารัฐและพึ่งพานายกฯมากขึ้น
โดยการจัดงบกลางถึง
1
ใน
5
ของงบประมาณแผ่นดิน
เงินนอกงบประมาณอีกกว่า
4.12
แสนล้านบาท
และเงินหวยบนดิน
ให้นายกฯใช้จ่ายตามใจชอบ
จนทำให้ประชาชนคิดว่าเป็นเงินของทักษิณ
รวมทั้งการแจกเงิน
แจกของ
และปลดหนี้
การไม่โอนงบฯ
ให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
และตัดบทบาทขององค์กรภาคประชาชนด้วยการส่งเงินให้ชุมชนโดยตรง
ส่งผลทำให้กลไกชุมชนอ่อนแอ
การดำเนินบทบาทของรัฐเช่นนี้ยิ่งทำให้เศรษฐกิจรากหญ้าอ่อนแอมากยิ่งขึ้น
ห้า
ปัจจัยขับเคลื่อนที่ผิด
เพราะเน้นการใช้จ่ายภาครัฐอย่างขาดประสิทธิภาพ
การบริโภคอย่างฟุ่มเฟือย
และการลงทุนที่ไม่มีคุณภาพ
อาทิ
การส่งเสริมให้ประชาชนเป็นหนี้บัตรเครดิต
การนำหวยขึ้นบนดิน
การส่งเสริมให้เกษตรกรเป็นผู้ประกอบการ
ปัจจัยเหล่านี้ไม่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
แต่จะทำให้รัฐบาลถังแตกและเป็นหนี้สาธารณะ
ประชาชนเป็นหนี้มากขึ้น
และความสามารถในการแข่งขันแย่ลง
เพราะเศรษฐกิจเติบโตอย่างไม่มีคุณภาพ
จากงบประมาณ
ทรัพยากร
และทุนที่มีจำกัด
ไม่ได้เติบโตจากการพัฒนาผลิตภาพ
และนวัตกรรม
ซึ่งไม่แตกต่างจากปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตในช่วงก่อนวิกฤตปี
2540
แต่อย่างใด
หก
กระบวนการที่ผิด
การจัดระบบและโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองของรัฐบาลทักษิณ
ได้ทำให้เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม
ผูกขาด
ตัดตอน
ครอบงำกิจการรัฐโดยกลุ่มทุนใกล้ชิดรัฐบาล
การกำหนดนโยบายขาดการศึกษาวิจัย
ไม่มีธรรมาภิบาล
และขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน
โดยเฉพาะการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย
และการทำเอฟทีเอที่ขาดการศึกษาวิจัย
ขาดการรับฟังความเห็น
ขาดความโปร่งใส
และขาดการเตรียมพร้อม
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่มีการแทรกแซงเพื่อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดนักการเมือง
ดังเห็นตัวอย่างได้จากผลการพิจารณาของศาลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ให้เพิกถอนการกระจายหุ้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
(กฟผ.)
เนื่องจากมีผลประโยชน์ทับซ้อน
มีส่วนได้เสียกับการแปรรูป
ทั้งกรณีการส่ง
"โอฬาร
ไชยประวัติ"
ที่เป็นกรรมการชินคอร์ปและปตท.
มาจัดตั้งบริษัทกฟผ.
และยังมี
"ปริญญา
นุตาลัย"
มาเป็นประธานรับฟังความเห็นประชาชน
ทั้งที่มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรมต.ทรัพยากรธรรมชาติฯ
ตลอดจนการกำหนดขั้นตอนการประมูลงานโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่ไม่โปร่งใส
กระบวนการเช่นนี้ย่อมสร้างความอ่อนแอให้กับระบบเศรษฐกิจ
ทำให้ระบบเศรษฐกิจขาดประสิทธิภาพเนื่องจากการผูกขาด
และทำให้ประชาชนและภาคเอกชนอีกส่วนหนึ่งไม่สามารถแข่งขันได้
เพราะขาดกระบวนการเตรียมความพร้อม
เจ็ด
การส่งสัญญาณที่ผิด
รัฐบาลเน้นสร้างภาพว่าเศรษฐกิจดี
โดยเฉพาะนายกฯพยายามคาดการณ์จีดีพีสูง
ๆ
แต่คาดผิดมาตลอด
ขณะที่หน่วยราชการคาดการณ์เศรษฐกิจปี
49
สูงเกินจริง
โดยละเลยตัวแปรทางการเมืองทั้งที่มีผลต่อเศรษฐกิจมาก
การโกหกว่าจัดทำงบฯสมดุล
โกหกว่าจะทำโครงการยักษ์ต่าง
ๆ
แต่ไม่ทำจริง
การตบแต่งตัวเลขยอดขายสินค้าโอท็อป
พฤติกรรมเช่นนี้จะนำพาประชาชนและภาคเอกชนเข้าสู่ความเสี่ยง
เพราะอาจลงทุนหรือใช้จ่ายมากเกินไป
หรืออาจขาดทุนหากลงทุนตามนโยบายรัฐบาล
รวมทั้งมีความเสี่ยงจะเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่
เพราะรัฐบาลทำให้ประชาชนเกิดความคาดหวังสูงเกินกว่าพื้นฐานที่แท้จริง
การที่คุณทักษิณยังเป็นนายกฯ
อยู่ต่อไป
โดยไม่ลาออก
และรัฐบาลจะยังคงใช้นโยบายเศรษฐกิจยี่ห้อ
ทักษิโณมิกส์
ต่อไป
ประเทศไทยจะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะไปสู่วิกฤต
และเป็นความเสี่ยงมากกว่าการที่นายกฯ
ลาออกไปเสียอีก
-------------------------------
|