เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ในวันพรุ่งนี้
อังคาร
26
ตุลาคม
ซึ่งเป็นวันประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่
22 ปีที่
1
ครั้งที่
20
(สมัยสามัญนิติบัญญัติ)
มีเรื่องที่น่าสนใจที่ผมอยากสื่อสารให้มิตรสหายทราบเรื่องหนึ่งคือ
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
พ.ศ.
.
ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว
โดยที่ผมได้สงวนความคิดเห็นในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย
แนวคิดหนึ่งที่เป็นหลักคิดสำหรับการสงวนความคิดเห็นในครั้งนี้คือ
การให้มหาวิทยาลัยพัฒนาตามความเชี่ยวชาญของตน
กล่าวง่าย
ๆ คือ
การให้มหาวิทยาลัยมีจุดเด่นของตัวเอง
และพัฒนาทุกศาสตร์ที่เปิดสอนให้บูรณาการกับจุดเด่นนั้น
ทั้งนี้เนื่องจากแนวคิดดังกล่าวจะช่วยให้มหาวิทยาลัยของไทยสามารถโดดเด่นได้ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
ตัวอย่างจากต่างประเทศที่ผมเห็นว่า
มหาวิทยาลัยเหล่านั้นประสบความสำเร็จในการสร้างจุดเด่นของตนเอง
ซึ่งหลายแห่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เพิ่งเปิดใหม่
แต่กลับมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในกลุ่มผู้เรียนที่ต้องการแสวงหาทางเลือกใหม่
ๆ
ในการศึกษา
ดังที่นิตยสารนิวส์วีค
(Newsweek)
ฉบับวันที่
5
กันยายน
2005
ได้เสนอเรื่องนวัตกรรมของการขายจุดเด่นของมหาวิทยาลัยในรูปแบบต่าง
ๆ
ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ตัวอย่างการสร้างจุดเด่นของมหาวิทยาลัยมีหลากหลายแบบ
อาทิ
จุดเด่นด้านการสร้างบรรยากาศที่น่าอยู่และน่าเรียน
ใน Paul
Smith's
College
ผู้เรียนจะรู้สึกว่าที่นี่เหมือนอยู่ในสถานตากอากาศ
เพราะวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่บนเขา
เนื้อที่กว้างขวาง
มีนักศึกษาเพียง
850 คน
หลักสูตรที่เปิดสอนเป็นเรื่องที่ให้ความสนุกผ่อนคลายเช่น
วิชาเดินทางไกลด้วยสกี
หรือด้วยรองเท้าลุยหิมะ
จุดเด่นด้านการสร้างหลักสูตรนานาชาติ
ใน
Middlebury
College
วิทยาลัยแห่งนี้มีคณาจารย์ที่สามารถพูดและสอนภาษาต่างประเทศได้ถึง
9 ภาษา
เช่น
ภาษาอังกฤษ
ภาษาอารบิค
จีน
ฝรั่งเศส
เยอรมนี
อิตาลี
ญี่ปุ่น
ฯลฯ
อีกทั้งวิทยาลัยนี้มีอาจารย์ไปจัดหลักสูตรในต่างประเทศมากถึง
10
ประเทศ
จุดเด่นด้านการเรียนวิทยาศาสตร์ที่เข้าถึงแหล่งศึกษาที่หลากหลาย
ในUniversity
of
California
มีจุดเด่นที่การเรียนการสอนให้ความสำคัญในการให้นักศึกษาได้ทดลอง
และเข้าถึงแหล่งความรู้ตามสถานที่ต่าง
ๆ
ที่หลากหลาย
รวมถึงได้มีการเปิดสอนด้านวิทยาศาสตร์ในแขนงใหม่
ๆ เช่น
การสังเคราะห์โมเลกุล
(molecular
synthesis)
ข้อมูลทางชีวภาพ
(Bioinformatics)
เป็นต้น
ทางเลือกที่หลากหลายให้ผู้เรียนดังตัวอย่างข้างต้นนี้
เป็นแนวคิดที่อยู่บนฐานการจัดการอุดมศึกษาตามจุดแกร่งหรือตามที่ตนเองมีศักยภาพความพร้อม
นับเป็นแนวคิดใหม่ที่มหาวิทยาลัยไทย
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีหลากหลายคณะและสาขาวิชา
ควรให้ความสนใจ
หรือลองศึกษาจากต้นแบบเหล่านี้และนำมาประยุกต์ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างจุดเด่นของตนขึ้นมา
เพราะจะมีส่วนในการสร้างชื่อเสียงและดึงดูดผู้เรียนจากทั้งในและต่างประเทศทั่วโลกได้
หากวิเคราะห์การจัดการศึกษาตามจุดเด่นหรือจุดแกร่งของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
ผมเห็นว่ามีความเป็นไปได้มากที่จะเกิดขึ้น
เนื่องด้วยเหตุผลในหลายประการ
เช่น
การเปิดเสรีการศึกษา
ที่จะกระทบต่อการศึกษาของไทย
ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น
เนื่องจากจะมีมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศเข้ามาเปิดสอนในประเทศ
รวมถึงการให้อิสระกับผู้เรียนในการเลือกศึกษาต่อในประเทศคู้ค้าโดยไม่มีเงื่อนไขกีดกัน
ส่งผลให้มหาวิทยาลัยต่าง
ๆ
จึงควรทบทวนจุดยืนและแนวทางในการจัดหลักสูตรการเรียนการสอน
เพื่อดึงดูดใจทั้งผู้เรียนที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ
และเป็นการสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับมหาวิทยาลัยเอง
การเปลี่ยนแปลงสถานะภาพของมหาวิทยาลัยของรัฐ
ที่กำลังเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับ
ซึ่งมีอิสระในการบริหารจัดการบุคลากร
งบประมาณ
และวิชาการ
ทำให้มหาวิทยาลัยต้องตื่นตัวในการบริหารหลักสูตรการเรียนการสอนด้วยตนเองมากขึ้น
การมีความจำกัดด้านงบประมาณทำให้ควรจัดสรรเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษามีต้นทุนสูง
ในขณะที่มหาวิทยาลัยต่าง
ๆ
ค่อนข้างมีความจำกัดด้านการเงิน
ดังนั้นหากมหาวิทยาลัยจัดการศึกษาตามจุดแกร่งหรือที่ตนเองเชี่ยวชาญ
ย่อมจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรมากกว่า
และมีโอกาสในการจัดการศึกษาในด้านนั้นได้อย่างมีคุณภาพ
และเชี่ยวชาญ
จนสามารถสร้างชื่อเสียง
และแข่งขันได้ทั้งในระดับประเทศและโลก
การไหลเข้ามาของกระแสยุคหลังทันสมัย
และสิทธิมนุษยชน
ทำให้คนเริ่มสนใจศึกษาเรื่องที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
มหาวิทยาลัยจึงต้องจัดหลักสูตรใหม่
ๆ
เพื่อรองรับความสนใจของผู้เรียน
เช่น
เพศศึกษา
(Gender
study)
การตัดต่อทางพันธุกรรม
ปรัชญา
ฯลฯ
ดังนั้นเส้นทางการจัดการศึกษาตามจุดแกร่งหรือที่ตนเองเด่น
จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการบริหารการอุดมศึกษาที่น่าสนใจ
อันจะก่อให้เกิดความหลากหลาย
คุณภาพระดับเชี่ยวชาญ
การสร้างชื่อเสียง
และการสร้างความสามารถในการแข่งขันได้ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
|