เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ที่ผ่านมา
ผมได้เปรียบเทียบความเหมือนระหว่างรัฐบาลคู่แฝดต่างยุค
คือ
รัฐบาลมาร์กอสและรัฐบาลทักษิณในแง่มุมต่าง
ๆ
ตั้งแต่เริ่มต้นของความเป็นเผด็จการรัฐสภา
การออกกฎหมายเพื่อเพิ่มอำนาจให้ตนเอง
การปิดกั้นและแทรกแซงสื่อ
การสร้างฐานเสียงสนับสนุนทางการเมืองโดยใช้นโยบายประชานิยม
และการวางคนสนิทและพวกพ้องในตำแหน่งสำคัญ
ๆ
รวมไปถึงการใช้อำนาจรัฐละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนในประเทศ
และในบทความนี้เป็นความเหมือนอีกประการหนึ่ง
คือ
การมี
ผลประโยชน์ทับซ้อน
ในรัฐบาล
ประธานาธิบดีมาร์กอสนั้นมีผลงานที่โดดเด่นเป็นที่จดจำ
คือ การคอร์รัปชันอย่างมโหฬารติดอันดับโลก
มาร์กอสดำเนินนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อญาติพี่น้องและพวกพ้องของตนเอง
โดยเฉพาะการให้บริษัทฯในเครือญาติชนะการประมูลโครงการสำคัญของรัฐ
เช่น
โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านไฟฟ้า
ประปา
โทรคมนาคม
การส่งออกน้ำตาล
หนังสือพิมพ์
และน้ำมัน
ซึ่งบางโครงการได้รับการยกเว้นเก็บภาษีเข้ารัฐ
มาร์กอสยังใช้อำนาจรัฐครอบงำและทำลายธุรกิจที่เป็นคู่แข่งทางการเมือง
เพื่อทำให้ธุรกิจของครอบครัวและพวกพ้องสามารถครอบครองอุตสาหกรรมหลักของประเทศไว้ได้ทั้งหมด
ซึ่งในสมัยที่ประธานาธิบดีมาร์กอสดำรงตำแหน่ง
มีเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายรัฐและครอบครองเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์
ได้แก่
ตระกูลโลเปซ
โรมัวล์เดช
ตัน โคฮวงโก
อายาลา
และโซริยาโน
เมื่อหันมาพิจารณา
ระบอบทักษิณในช่วง
5
ปีที่ผ่านมา
จะพบลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
คือการกำหนดนโยบายที่ทำให้ธุรกิจของตนเองและพวกพ้องได้รับผลประโยชน์
เช่น
การแก้ไขกฎหมายสรรพสามิตโทรคมนาคมเพื่อให้ธุรกิจบริการโทรศัพท์มือถือของครอบครัวนายกฯได้รับประโยชน์
การให้สัมปทานพัฒนาพื้นที่อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินแก่บริษัทของลูกชายนายกฯ
การให้
EXIM
Bank
อนุมัติเงินกู้ให้แก่รัฐบาลพม่า
4,000
ล้านบาท
เพื่อนำเงินดังกล่าวมาจ้างบริษัทชินแซทฯ
รับงานเครือข่ายดาวเทียม
ตลอดจนการยกเว้นภาษีให้กับโครงการดาวเทียม
IP Star
ของบริษัทชินแซทฯ
เป็นต้น
แนวนโยบายของรัฐบาลทักษิณยังมีความพยายามครอบงำหรือทำลายกิจการของรัฐ
ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นคู่แข่งกับธุรกิจของคนในรัฐบาล
อาทิ
การขายหุ้นกิจการพลังงานของรัฐแล้วให้พวกพ้องของตนเข้าไปถือหุ้นโดยหวังผลประโยชน์จากการผูกขาดในกิจการนั้น
การทำให้สายการบินไทยอ่อนแอเพื่อให้สายการบินต้นทุนต่ำของตนเองได้ประโยชน์
การทำให้โรงพยาบาลของรัฐมีคุณภาพต่ำด้วยการดำเนินนโยบาย
30
บาทรักษาทุกโรคทั้ง
ๆ
ที่ไม่มีความพร้อม
จนทำให้คนหันไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนที่ตนเองเข้าไปครอบงำกิจการ
หรือการทำให้รัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคมและการสื่อสารอ่อนแอจนมีการครหาว่าเพื่อที่จะไม่ขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับธุรกิจมือถือของตน
หรือแม้แต่การจัดการกับเจ้าหนี้นอกระบบแต่กลับไม่จัดการกับบริษัทเงินด่วนของตนเองที่คิดดอกเบี้ยสูง
ฯลฯ
เป็นที่ทราบกันดีว่า
ในรัฐบาลทักษิณ
มีตระกูลใหญ่เพียง
10
ตระกูลเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์
โดยรัฐบาลได้กำหนดนโยบายที่ให้เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเจรจาเขตการค้าเสรี
(FTA)
ซึ่งมีความพยายามแลกผลประโยชน์ของธุรกิจที่ใกล้ชิดรัฐบาลกับความเสียหายของภาคเศรษฐกิจอื่น
ๆ เช่น
เอฟทีเอไทย-ออสเตรเลียที่แลกผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมยานยนต์กับความเสียหายของอุตสาหกรรมโคเนื้อและโคนม
เป็นต้น
หรือการกำหนดอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์
5 ด้าน (Global
Niche)
โดยปราศจากผลการศึกษาวิจัยอย่างรอบคอบ
จากการศึกษาประวัติศาสตร์
พบว่า
รัฐบาลเผด็จการแบ่งออกได้เป็น
2
ประเภทตามเป้าหมายของรัฐบาล
รัฐบาลเผด็จการประเภทแรก
เป็นรัฐบาลที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายเผด็จการ
ตั้งแต่การรวบอำนาจ
การแทรกแซงองค์กรต่าง
ๆ
และการละเมิดสิทธิมนุษยชน
โดยมีเป้าหมายเพื่อการสร้างชาติให้เข้มแข็ง
ส่วนรัฐบาลเผด็จการประเภทที่สอง
คือรัฐบาลที่มีพฤติกรรมเผด็จการเช่นกัน
แต่กลับมีเป้าหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าของตนเองและพวกพ้อง
รัฐบาลประเภทนี้
เราเรียกว่า
รัฐบาลเผด็จการทรราชย์
-------------------------------
|