เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่สนับสนุนด้านสิทธิ
เสรีภาพ และความเสมอภาคแก่ประชาชนเป็นสำคัญ ดังปรากฏในหลายมาตรา
โดยเฉพาะการขยายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเมืองการปกครอง (มาตรา 170 และ
303-304) ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง 50,000 คน
สามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิ เสรีภาพ และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐได้
นับตั้งแต่การใช้รัฐธรรมนูญฯ มาเป็นเวลา 8 ปีเศษ มีการเสนอร่างกฎหมายจากประชาชนจำนวนทั้งสิ้น
16 ฉบับ แต่มีเพียง 7
ฉบับเท่านั้นที่ดำเนินการได้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด และประเด็นที่น่าสนใจคือ
จนถึงปัจจุบันยังไม่มีร่างกฎหมายฉบับใดที่เสนอโดยประชาชนที่ถูกประกาศใช้เป็นกฎหมาย
และในขณะนี้มีร่างกฎหมายเพียง 3 ฉบับเท่านั้นที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา
คือ ร่าง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ ร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชน และร่าง
พ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัดภูเวียง ส่วนอีก 4 ฉบับต้องตกไป
เพราะอายุของสภาผู้แทนราษฎรหมดลง โดยไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณา
หรืออยู่ระหว่างการพิจารณารายชื่อของผู้เสนอร่างกฎหมายให้ครบถ้วน
จะเห็นได้ว่า กระบวนการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน โดยการเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภาฯ
และประกาศใช้เป็นกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ล้วนต้องเผชิญอุปสรรคทั้งสิ้น
ทั้งในเรื่องของความพยายามที่จะต้องรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ครบ
50,000 คน ความล่าช้าในการพิจารณากฎหมายของรัฐสภา รวมไปถึงเนื้อหาของร่างกฎหมายที่จะถูกแก้ไขให้ผิดไปจากเจตนารมย์เดิมของกฎหมาย
คำถามสำคัญอยู่ที่ว่า
ทำอย่างไรกฎหมายที่เสนอโดยภาคประชาชนจะได้รับความสนใจจากฝ่ายการเมือง
โดยเฉพาะพรรคฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจที่จะผ่านกฎหมายฉบับนั้น
ผมจึงมีข้อคิดในเรื่องดังกล่าว ดังนี้
หนึ่ง
หาแนวร่วมสนับสนุนต่อร่างกฎหมาย
ผมคิดว่าประเด็นหนึ่งที่ภาคประชาชนควรทำคือ
การแสดงให้เห็นว่าร่างกฎหมายมีความสำคัญต่อภาพรวมของสังคมไทยอย่างไร
ทั้งในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ หรือเป็นแนวนโยบายพื้นฐานที่รัฐพึงกระทำให้กับประชาชน
ผู้เสนอกฎหมายจำเป็นต้องหาแนวร่วมจากสื่อมวลชน นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป
ที่เข้ามาร่วมสนับสนุนต่อร่างกฎหมาย
ย่อมทำให้ฝ่ายการเมืองต้องยอมรับและให้ความสำคัญต่อร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวมากขึ้น
สอง
จัดทำงานวิจัยเพื่อสนับสนุนร่างกฎหมาย
การพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวอาจมีทั้งผู้เห็นด้วยและคัดค้าน
ซึ่งอาจทำให้สังคมเกิดข้อกังขาถึงความจำเป็นหรือความเหมาะสมของร่างกฎหมาย
ดังนั้นภาคประชาชนผู้เสนอกฎหมายควรพยายามทำวิจัยในเชิงวิชาการ
ที่ชี้ให้เห็นถึงข้อดีและผลประโยชน์ที่จะได้รับ
รวมทั้งข้อเปรียบเทียบร่างกฎหมายดังกล่าวกับกฎหมายในประเทศอื่น ๆ
เพื่อสร้างองค์ความรู้ให้กับสังคมไทย ซึ่งจะทำให้ร่างกฎหมายมีน้ำหนัก
และทำให้เห็นสภาฯ และประชาชนส่วนใหญ่เห็นความสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าว
สาม
ตั้งทีมติดตามการพิจารณาร่างกฎหมาย
ภาคประชาชนไม่ควรนิ่งเฉยภายหลังเสนอร่างกฎหมายต่อสภาฯ แล้ว
แต่ควรจัดตั้งทีมติดตามการพิจารณาร่างกฎหมาย
ทั้งเรื่องของเนื้อหาสาระของกฎหมายที่จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเจตนารมย์ของกฎหมาย
และการติดตามความคืบหน้าของการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
หรือทวงถามต่อรัฐบาลและรัฐสภาฯ หากการพิจารณาร่างกฎหมายไม่มีความคืบหน้า
ประเด็นหนึ่งที่ภาคประชาชนควรผลักดันให้เกิดขึ้น คือการกำหนดระยะเวลาในการตรวจสอบรายชื่อผู้เสนอกฎหมาย
และระยะเวลาในการนำร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณารับหลักการในวาระที่ 1
ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะช่วยทำให้ประชาชนมีความมั่นใจว่า
ร่างกฎหมายที่ตนเสนอจะได้รับการพิจารณาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม
ผมไม่ได้หมายความว่าร่างกฎหมายที่เสนอโดยภาคประชาชนจะถูกต้องและเหมาะสมทั้งหมด
แต่ผมเห็นว่าฝ่ายการเมืองควรแสดงความจริงใจต่อร่างกฎหมายดังกล่าว
ด้วยการนำร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ
และให้สภาฯเป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าว
มิใช่ใช้วิธีการกีดกันหรือไม่ให้ความสำคัญกับร่างกฎหมายที่ภาคประชาชนเสนอ
|