Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

ขอคิดอย่างสร้างสรรค์

ความจริงอีกด้านของโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน
Hidden details: Another perspective of the Amper One Fund

 

24 สิงหาคม 2549

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก                                            
   
   
           ความสำเร็จของโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนการศึกษา ที่รักษาการนายกฯ ได้กล่าวในรายการนายกฯ คุยกับประชาชนเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม เป็นการบอกความจริงเพียงด้านเดียว สิ่งที่ซ่อนไว้คือ จุดอ่อนของโครงการที่รัฐบาลไม่ยอมเหลียวแล หรือนำมาปรับปรุงเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ

               การที่รักษาการนายกฯ ได้กล่าวอ้างถึงผลงานวิจัย เรื่อง โครงการติดตามและประเมินผลโครงการ หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน จากเงินรายได้ส่วนเกินของการออกสลากเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ที่จัดทำโดย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในรายการนายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชนเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยเน้นความสำเร็จในรุ่นแรกของโครงการว่า เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน ครู เป็นโครงการที่ทำให้นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยมีโอกาสศึกษาต่อระดับปริญญาตรีทั้งในและต่างประเทศ นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้มากขึ้น ตลอดจนนักเรียนทุนส่วนใหญ่มีจิตสำนึกที่ดี ในการที่จะกลับไปทำงานในเขตท้องถิ่นของตนเองหลังจากสำเร็จการศึกษา

               แม้ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นผลจากงานวิจัย หากแต่การกล่าวอ้างผลการติดตามประเมินโครงการดังกล่าวนั้น เป็นเพียงการหยิบยกความจริงเพียงด้านเดียวมานำเสนอ ซึ่งอาจทำให้สังคมมองข้ามสิ่งสำคัญคือ จุดอ่อนของโครงการที่งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น

            การคัดกรองนักเรียนมีปัญหา แม้ว่านักเรียนที่ได้รับทุนร้อยละ 79 จะมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน ที่มีรายได้ต่อครอบครัวไม่เกิน 1 แสนบาท ผลการเรียนดี แต่เนื่องจากเป็นโครงการที่รัฐบาลเร่งให้เกิด จนขาดการวางแผนตั้งแต่ระบบคัดกรอง จึงพบว่ามีนักเรียนอีกร้อยละ 21 ที่ครอบครัวมีรายได้เกิน 1 แสนบาท ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของโครงการที่ต้องการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้เด็กยากจนด้อยโอกาส

            การไม่เตรียมความพร้อมเรื่องปรับตัว โครงการนี้ไม่มีระบบเตรียมความพร้อมที่ดีพอ กล่าวคือ ใช้เวลาอบรมเพียง 5 วัน โดยเฉพาะเรื่องภาษาและวัฒนธรรมของประเทศที่เลือกเรียน ไม่มีการอบรมเพื่อช่วยให้นักเรียนปรับตัวง่ายขึ้น จึงทำให้นักเรียนเกิดโรคคิดถึงบ้านและปรับตัวไม่ได้ โดยที่ผ่านมามีนักเรียนทุนรุ่นแรกจำนวน 31 คน จาก 726 คน  ขอกลับประเทศไทย ทำให้โครงการเสียเงินเปล่าถึง 31 ล้านบาท

            การขาดข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาต่อในประเทศนั้น ๆ โครงการนี้ยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับระบบการศึกษาในประเทศที่ส่งเด็กไป เช่น ประเทศเยอรมนีใช้เวลาการศึกษาขั้นพื้นฐาน 13 ปี แต่ประเทศไทยเรียนเพียง 12 ปี นักเรียนที่ไปจึงต้องเรียนเพิ่มอีก 1 ปี จึงเข้าสถาบันอุดมศึกษาได้ หรือประเทศญี่ปุ่นมีเงื่อนไขว่า การศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยจะต้องผ่านการสอบเข้าเท่านั้น ทำให้ต้องสูญเสียงบประมาณในการเรียนเพิ่มเติมอย่างไม่จำเป็น

            การให้สิทธิพิเศษเด็กมากเกินไป กิจกรรมบางอย่างที่โครงการนี้หยิบยื่นให้กลับเป็นผลร้ายที่ทำลายความตั้งใจดีในการเรียนของเด็ก เช่น ให้เปลี่ยนสาขาเรียนได้ไม่จำกัด โดยไม่คำนึงถึงการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น การให้เงินทุนมากกว่าเด็กทุนในโครงการอื่น ๆ ทำให้เด็กบางคนอาศัยทุนนี้แอบแฝงในเรื่องรายได้ โดยรอครบเวลาเก็บเงินกลับบ้านต่างจังหวัด ประกอบกับการไม่ตัดสิทธิในการรับทุน ส่งผลให้เด็กส่วนหนึ่งขาดความกระตือรือร้นในการเรียน

            การไม่มีสัญญาผูกมัดให้เด็กกลับมาใช้ทุน แม้ว่างานวิจัยจะพบว่า เด็กในโครงการแรกจะมีทัศนคติที่ดีต่อการใช้ทุนแต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเด็กจะกลับมาทำงานให้ท้องถิ่น เนื่องจากโครงการไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ ให้เด็กที่จบการศึกษากลับมาทำงานเพื่อท้องถิ่นหรือประเทศไทย

               สิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือ งานวิจัยดังกล่าวได้ให้ข้อเสนอแนะที่สำคัญ เพื่อให้การส่งเด็กทุน ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ได้รับประโยชน์ที่คุ้มค่าที่สุด เช่น ควรยึดความต้องการของประเทศเป็นหลักในการกำหนดสาขาที่จะให้ทุน เพิ่มทุนระดับอาชีวศึกษา มีระบบการคัดเลือกที่มีมาตรฐาน การทำสัญญาผูกมัดที่ชัดเจนเพื่อเด็กกลับมาใช้ทุน มหาวิทยาลัยเปิดช่องทางให้เด็กทุนในประเทศได้เข้าเรียนมากขึ้น

               แต่รัฐบาลกลับไม่เหลียวแลที่จะนำข้อเสนอที่สำคัญมาปรับปรุงโครงการในรุ่นที่สอง หากแต่นำมาเพียงบางส่วน โดยเฉพาะในเรื่องที่ทำให้ตนได้คะแนนเสียง อาทิ การเพิ่มทุนระดับอาชีวศึกษา โดยละทิ้งหลักการที่สวยหรูที่รักษาการนายกฯ ได้กล่าวไว้เมื่อครั้งให้โอวาทแก่นักเรียนโครงการ 2 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม คือ ให้เด็กกลับมาทำงานเพื่อท้องถิ่น และเพื่อประเทศ

               ผมเห็นว่า หากรัฐบาลให้ความสำคัญกับประเด็นของการพัฒนาคนแล้ว สิ่งที่ควรทำคือ การสร้างข้อกำหนดที่ชัดเจนเพื่อให้เด็กกลับมาใช้ทุน การวางแผนกำลังคนเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศในอนาคต ตลอดจนการวางแผนรองรับเด็กที่จบการศึกษากลับมาทำงานในท้องถิ่น เพื่อป้องกันปัญหาสมองไหล และเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ


-------------------------------