รัฐบาลมักอ้างว่าได้จัดทำงบประมาณแบบสมดุลตั้งแต่ปีงบประมาณ
2548 เป็นต้นมา
แต่หากวิเคราะห์กรณีที่สำนักบริหารหนี้สาธารณะกำลังศึกษาการแปลงตั๋วเงินคลังที่เกิดจากการชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีก่อน
ๆ วงเงิน 1.7 แสนล้านบาทเป็นพันธบัตร
และการกำหนดกรอบการจัดงบประมาณประมาณปี
2550
ซึ่งมีการจัดงบ 1.8 หมื่นล้านบาทเพื่อใส่คืนในเงินคงคลัง
ทำให้เกิดข้อสังเกตว่า
แท้จริงแล้วการจัดงบประมาณในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
อาจไม่ได้เป็นงบประมาณแบบสมดุล
แต่เป็นงบประมาณแบบขาดดุล โดยหลักฐานที่ชัดเจนคือ
เงินคงคลังที่ลดลงในปีที่จัดงบประมาณสมดุล
ปีงบประมาณ 2548
:
สิ้นปีงบประมาณ
2547
มีเงินคงคลัง
1.46 แสนล้านบาท
และหนี้ตั๋วเงินคลัง
1.7
แสนล้าน
แต่สิ้นปีงบประมาณ
2548
เงินคงคลังเหลืออยู่ 1.04 แสนล้านบาท
ขณะที่หนี้ตั๋วเงินคลังยังอยู่ที่
1.7
แสนล้านเท่าเดิม
หรือหมายความว่าเงินคงคลังลดลง
4.2 หมื่นล้านบาท แสดงว่างบประมาณปี
2548
เป็นงบประมาณแบบขาดดุล
เพราะหากมีรายรับเท่ากับรายจ่าย รัฐบาลคงไม่จำเป็นต้องนำเงินคงคลังออกไปใช้จ่าย
(เปรียบเหมือนการนำเงินออมออกมาใช้จ่าย เพราะรายจ่ายมากกว่ารายได้)
ปีงบประมาณ 2549
:
ณ
สิ้นเดือนตุลาคม 2548
ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2549
เงินคงคลังลดลงเหลือ 3.6 หมื่นล้านบาท จาก 1.04 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2548
ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2548 แสดงว่าเงินคงคลังลดลง
6.8 หมื่นล้านบาทภายในเดือนเดียว
ขณะที่หนี้ตั๋วเงินคลังลดลงเพียง 1 หมื่นล้านบาท จนทำให้รัฐบาลต้องขออนุมัติ ครม.
เมื่อวันที่
29
พฤศจิกายน
2548
เพื่อออกตั๋วเงินคลังเพิ่มเติมในปีงบประมาณ
2549
อีก 8
หมื่นล้านบาท
เป็นสิ่งที่สะท้อนว่าปีงบประมาณ 2549 อาจเป็นอีกปีหนึ่งที่ขาดดุลงบประมาณ ทั้ง ๆ
ที่ตั้งงบประมาณแบบสมดุล
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลเตรียมแปลงหนี้ตั๋วเงินคลังเป็นหนี้ระยะยาว
สะท้อนให้เห็นอาการชักหน้าไม่ถึงหลัง กล่าวคือรัฐบาลขาดความสามารถชำระหนี้ระยะสั้น
จึงผลักภาระหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ระยะยาว
ขณะที่การจัดงบประมาณ
1.8 หมื่นล้านบาทในปี
2550 เพื่อใช้คืนเงินคงคลัง
แสดงให้ว่ารัฐบาลอาจไม่สามารถหารายได้มาใช้หนี้ตั๋วเงินคลังที่ออกเพิ่มขึ้น
8
หมื่นล้านบาท
หรือคืนเงินคงคลังที่ลดลงเป็นจำนวนมาก
ภายในปีงบประมาณ 2549
ได้
การที่รัฐบาลใช้จ่ายด้วยเงินคงคลังและออกตั๋วเงินคลัง
แล้วอ้างว่าเป็นการทำงบประมาณแบบสมดุล
เป็นการบิดเบือนตัวเลขเพื่อทำให้เข้าใจว่า
รัฐบาลมีวินัยทางการคลังและมีฐานะการคลังที่มั่นคง
แต่หากรัฐบาลยังใช้วิธีการนี้ต่อไปจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น
จนในที่สุดอาจเกินกรอบความมั่นคงทางการคลังและเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ