จากที่นายกฯ ได้ลงพื้นที่แก้ไขปัญหาความยากจนที่อำเภออาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด
โดยมีสถานีโทรทัศน์เคเบิ้ลทีวีเป็นผู้ถ่ายทอดสดตลอด
5
วัน
5
คืน ตั้งแต่วันที่
16 20
มกราคมที่ผ่านมา
ผมได้ทำการเก็บตัวเลขกิจกรรมการแก้ปัญหาความยากจนของนายกรัฐมนตรี
ผ่านรายการดังกล่าวตลอดระยะเวลา
5
วัน ซึ่งนายกฯ อ้างว่าเป็นการสอนการแก้ปัญหาความยากจนทางไกล
แต่แท้ที่จริงเป็นการสอนให้คนเห็นเงินเป็นพระเจ้า
ประการแรก
เน้นการสอนประชาชนให้แบมือขอ
นายกฯสอนให้ประชาชนต้องพึ่งรัฐ
มากกว่าพึ่งตนเอง จากการเก็บสถิติในรายการเรียลลิตี้โชว์ตลอด
5
วัน พบว่า นายกฯ
ได้ให้คำปรึกษาชาวบ้านและตัวแทนชาวบ้าน ทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งหมด
93
คน
สามารถรวบรวมกิจกรรมการแก้ไขปัญหาความยากจนที่นายกฯ แนะนำได้ทั้งหมด
11
หมวด
217
กิจกรรม แต่กิจกรรมที่นายกฯ
ทำเพื่อส่งเสริมการพึ่งตนเองของประชาชนและชุมชน อาทิ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
แนะนำอาชีพ มีเพียง 36%
ของกิจกรรมทั้งหมด
ส่วนกิจกรรมที่นายกฯ ให้ประชาชนพึ่งพารัฐ อาทิ การพักหนี้ การพึ่งพาโครงการรัฐบาล
มีถึง
61.7%
ทั้งที่หลักการแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน ควรช่วยเขาเพื่อให้ช่วยตนเองได้
เหมือนคำที่ว่า "จับปลาให้กิน
1
ตัว คนจะอิ่มได้เพียง
1
วัน แต่สอนให้จับปลาได้
เขาจะอิ่มตลอดชีวิต
แต่ตลอดการลงพื้นที่ของนายกฯ
เน้นการแจกเพื่อให้ประชาชนที่ได้รับรู้สึกพึงพอใจเป็นหลัก
ไม่มีมิติของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสะท้อนปัญหา
ผู้ที่มารายงานปัญหาของชาวบ้านคือนายอำเภอ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า นายกฯ
ไม่ได้ตั้งใจลงไปแก้ปัญหาความยากจนจริง เป็นเพียงรูปแบบการหาเสียงแบบใหม่ในยามขาลง
เพราะการฟังปัญหาผ่านนายอำเภอ ไม่จำเป็นต้องลงไปถึงอาจสามารถ
สามารถเรียกข้าราชการกลุ่มนี้มาที่ส่วนกลางได้
ประการที่สอง
สอนข้าราชการให้ใช้เงินแก้ปัญหาทุกอย่าง
จากการเก็บสถิติโดยนับกิจกรรมที่นายกฯทำตลอดทั้ง
5
วัน
สังเกตว่าวิธีการของนายกฯ กว่าครึ่งหนึ่งเป็นการ
"แจกเงิน
แจกของ"
อาทิ ให้เอกสารสิทธิที่ดิน
แจกโค ให้เงินกู้ ฯลฯ โดยคิดเป็น 40%
ของกิจกรรมทั้งหมด ในขณะที่การ
แจกปัญญา
หรือกิจกรรมเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์หรือความรู้ความสามารถของชาวบ้าน อาทิ
ให้ทุนการศึกษา ฝึกอบรม มีเพียง 20.3%
เท่านั้น
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า การแก้ปัญหาความยากจนของนายกฯ
เป็นไปอย่างฉาบฉวย ใช้เงินในการแก้ปัญหา ต้องการเพียงให้เห็นผลเร็ว
หรือให้ประชาชนเห็นว่าเมื่อนายกฯ ลงไป ชาวบ้านจะมีทีที่ดิน มีเงินใช้
วิธีการดังกล่าวแม้จะเห็นผลเร็วแต่ไม่ยั่งยืน
ในทางกลับกันการพัฒนาทุนมนุษย์ให้ชาวบ้านนั้น
จะเป็นการแก้ปัญหาความยากจนที่ยั่งยืนมากกว่า แต่ต้องใช้เวลานาน ดังนั้นหากจะนำเรียลลิตี้โชว์นี้ไปเป็นแบบอย่างแก่ข้าราชการจริง
อาจทำให้ข้าราชการทั้งประเทศทำตามอย่างแบบอย่างที่ผิดของนายกฯ
สุดท้ายผมมีข้อสังเกตประการหนึ่งคือ
แม้จังหวัดร้อยเอ็ดมีสัดส่วนคนจนด้านรายได้ถึง
8%
ซึ่งมีความจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขปัญหา แต่ยังไม่ใช่พื้นที่ที่ยากจนที่สุด
แต่เหตุผลที่นายกฯเลือกพื้นที่นี้เพราะเป็นพื้นที่ของไทยรักไทย
ซึ่งเป็นการยืนยันคำพูดของนายกฯ ที่ว่า
"จะดูแลพื้นที่ที่เลือกไทยรักไทยก่อน"
คำถามคือ นายกฯ จะลงไปแก้ความยากจนในพื้นที่อื่น ๆ
ซึ่งมีปัญหาความยากจนที่รุนแรงกว่านี้หรือไม่
เช่น
ปัตตานีที่มีสัดส่วนคนจนด้านรายได้ถึง
23%
และนราธิวาสที่มีคนยากจนถึง
18%