 |
|
 |
 |
|
 |
ขอคิดอย่างสร้างสรรค์ |
|
พ.ร.บ.
ขายสมบัติชาติ
Nation
Betrayers
Act |
|
21
ตุลาคม
2548 |
|
เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
จากการที่รัฐบาลมีมติรับหลักการของร่าง
พ.ร.บ.โอนอำนาจหน้าที่และกิจการบริหารของกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม
ในส่วนที่เกี่ยวกับทางหลวงพิเศษและยกระดับอุตราภิมุขบางช่วงเป็นของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
. เมื่อวันพุธที่ 12 ต.ค. 2548 ที่ผ่านมา โดยได้เหตุผลการร่าง พ.ร.บ.
ฉบับนี้ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในบทบาทของกรมทางหลวง กับการทางพิเศษฯ (กทพ.)
หากพิจารณาเพียงผ่าน ๆ เป็นเหตุผลที่ดี แต่เมื่อพิจารณาแนวปฏิบัติโดยละเอียด
พบว่าเป็น พ.ร.บ.ที่ทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ เนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้
ประการแรก เป็นการดึงสมบัติของชาติ เพื่อเตรียมขายให้คนบางกลุ่ม ในมาตรา 3
ระบุว่า นอกจาก
การโอนอำนาจหน้าที่ และกิจการบริหาร ตามที่ชื่อของ พ.ร.บ. แล้ว ยังรวมถึงทรัพย์สิน
สิทธิ หนี้ ข้าราชการ ลูกจ้าง ไปให้ กทพ. ซึ่งรวมถึง
สิ่งปลูกสร้างและที่ดินของทางด่วนมอร์เตอร์เวย์และโทลล์เวย์บางช่วง
ซึ่งมีมูลค่ากว่า 44,205 ล้านบาท และสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินนั้น
ยังไม่นับรวมกับรายได้ในการเก็บค่าผ่านทางประมาณปีละ 2,384 ล้านบาทต่อปี หรือ 198
ล้านบาทต่อวัน (สถิติปี 47 นับเฉพาะทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และ 9) และในอนาคต กทพ.จะไม่ใช่หน่วยงานที่รัฐเป็นเจ้าของ
100% เพราะใน 1-2 ปีข้างหน้า รัฐบาลมีแผนที่จะนำ กทพ.เข้าตลาดหุ้น
เท่ากับว่าเรากำลังโอนทรัพย์สินที่เป็นของประชาชนทั้งประเทศ
ให้กับกลุ่มคนบางกลุ่มหรือคนต่างชาติหรือ?
ประการที่สอง เอาเฉพาะของดีให้คนบางกลุ่ม แต่เอาของเสียให้แผ่นดิน ในมาตรา 4
ระบุว่า การโอนทรัพย์สิน สิทธิ และบุคลากรตามมาตร 3
ไม่รวมถึงกรณีบรรดาหนี้และภาระผูกพันที่กรมทางหลวงมีหน้าที่ต้องชำระ คำถาม คือ
ทำไมรัฐบาลต้องการโอนแต่ทรัพย์สินที่สามารถทำกำไรได้ แต่ไม่โอนหนี้ไปด้วย หาก กทพ.
ได้ทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงและมีศักยภาพในการสร้างรายได้ โดยเฉพาะมอเตอร์เวย์
ซึ่งจะมีผู้ใช้บริการมากขึ้นเมื่อสนามบินสุวรรณภูมิเปิดให้บริการ แต่ไม่มีหนี้เลย
เมื่อ กทพ.เข้าตลาดหุ้นจะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าสูง ผู้ที่ได้หุ้นของ กทพ.จึงมีแต่ได้
ไม่มีเสีย แต่หนี้ยังตกอยู่กับกรมทางหลวงซึ่งเป็นภาระของรัฐที่ต้องชำระหนี้ต่อไป
รัฐบาลได้ดำเนินการลักษณะเดียวกันนี้มาก่อนแล้ว
หากพิจารณาจากรายงานของผู้ตรวจสอบบัญชีของ สตง. ที่ปรากฏอยู่ในรายงานประจำปี 2547
ของ กทพ. ผู้ตรวจสอบบัญชีวิเคราะห์ว่า กทพ. ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
ต้องตัดขาดทุน โดยทยอยหักเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปี เป็นระยะเวลาหลายปี
แต่กระทรวงการคลังให้ กทพ.เร่งตัดขาดทุนให้หมดใน 4 ปี เริ่มตั้งแต่ปีบัญชี
2546 โดยหักจากรายได้ของ กทพ. การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของ กทพ.จะหมดในปีบัญชี
2549 (30 ก.ย. 2549) พอดี
ช่างเป็นเวลาที่เหมาะเจาะกับช่วงที่รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมได้เร่งรัดให้ กทพ.ทำแผนแปรรูปให้เสร็จภายในปี
2549
แม้ประเด็นการหักขาดทุนเร็วยังไม่ใช่ปัญหา
เพราะหักขาดทุนเร็วบางครั้งอาจจะดีกว่าหักขาดทุนช้า แต่ปัญหาก็คือ
ใครเป็นคนรับภาระการขาดทุนนี้ และใครได้ประโยชน์จากการที่ กทพ.ไม่มีผลการขาดทุนที่สะสม
สตง.วิเคราะห์ว่า หาก กทพ.หักขาดทุนแบบเดิมจะทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 678.9 ล้านบาท
แสดงว่าการหักขาดทุนเร็วขึ้นจะทำให้กำไรลดลง 678.9 ล้านบาทต่อปี
กำไรที่ลดลงแสดงว่าการจ่ายรายได้เข้าคลังจะลดลงด้วย เพราะกทพ.ต้องส่งรายได้เข้าคลังร้อยละ
35 ของรายได้ที่จัดเก็บได้ หรือหมายความว่า คลังจะมีรายได้ลดลงจากที่ควรจะได้
237.62 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2546-2549 หรือรวมเป็นเงินประมาณ 1 พันล้านบาท
ประชาชนทั้งประเทศจึงเป็นคนที่รับภาระหนี้และการขาดทุนไปโดยทางอ้อม ส่วนผู้ได้รับหุ้นของ
กทพ.ในอนาคต จะเป็นผู้ได้ประโยชน์ เพราะเสวยสุขอยู่บนสินทรัพย์ของ กทพ.ที่ปราศจากภาระหนี้และการขาดทุน
มีแต่กำไรล้วน ๆ
|
|
|
|
|
|
|
|
|
 |
|
|
|
|
 |
 |
|