เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
จากงานศึกษาของผม
เรื่อง
”ผลกระทบของระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ตามรัฐธรรมนูญปี
พ.ศ.
2540
ที่มีต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย”
ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาประเด็นที่เป็นเป้าหมายของการปฏิรูปการเมืองใน
3
มิติ
ได้แก่
มิติการเป็นตัวแทนของประชาชน
มิติความเท่าเทียม
และมิติเสถียรภาพของรัฐบาล
อันเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาประชาธิปไตยที่มั่นคงในระยะยาว
และนำไปสู่การค้นหาระบบการเลือกตั้งที่พึงประสงค์ของประเทศ
งานวิจัยชิ้นนี้ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า
“Spatial
Voting
Model”
ซึ่งใช้วัดผลการดำเนินการของระบบการเลือกตั้ง
โดยใช้วิธี
Computer
Simulation
จำลองสถานการณ์ของการเลือกตั้งรูปแบบต่าง
ๆ
กันหลาย
ๆ ครั้ง
แล้วคำนวณดัชนีชี้วัดผลการดำเนินการและนำมาเปรียบเทียบผลการดำเนินการของระบบการเลือกตั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญปี
พ.ศ.
2540
ผลการวิจัยพบว่า
การแบ่งเขตเลือกตั้งให้มีขนาดเล็กลงจากระบบเดิมที่
1
เขต มี ส.ส.
ได้หลายคนเปลี่ยนเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว
ทำให้ระดับการเป็นตัวแทนประชาชนและระดับความเท่าเทียมกันของการได้รับบริการทางการเมืองของประชาชนลดลง
เนื่องจากประชาชนมีทางเลือกของนโยบายน้อยกว่า
อันเป็นผลจากแต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวน
ส.ส.
เพียงคนเดียว
ในทางหลักการแล้ว
ส.ส.เขต
1
คนย่อมสะท้อนประโยชน์เชิงนโยบายแก่กลุ่มคนกลุ่มเดียวในเขตที่เลือก
ส.ส.คนดังกล่าวเข้ามา
ขณะที่กลุ่มคนกลุ่มอื่น
ๆ
ในเขตที่ไม่ได้เลือก
ส.ส.คนดังกล่าวกลับไม่ได้รับความพึงพอใจทางนโยบายอย่างที่ควรเป็น
เพราะผู้สมัครที่ตนเองเลือกไม่ได้เป็นตัวแทนของตนในเขตนั้น
แต่หากพิจารณาผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
หากสมมติว่าประชาชนทั่วประเทศมีลักษณะของความนิยมต่อพรรคการเมืองต่าง
ๆ
คล้ายกัน
และประชาชนให้น้ำหนักแก่นโยบายระดับเขตค่อนข้างมาก
การเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียวน่าจะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลสูงกว่า
เนื่องจากพรรคที่มีคะแนนนิยมสูงสุดมีโอกาสชนะเลือกตั้งในทุกเขต
ขณะที่พรรคที่มีคณะนิยมมาเป็นอันดับสองมีโอกาสได้รับชัยชนะในเขตเลือกตั้งต่าง
ๆ
น้อยมาก
เพราะคะแนนของผู้สมัครของพรรคนี้จะมาเป็นที่สองในเกือบทุกเขต
ทำให้ไม่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็น
ส.ส.เลย
เมื่อเป็นเช่นนี้พรรคที่มีคะแนนนิยมสูงสุดจะมี
ส.ส.เป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับ
ส.ส.ในพรรคอื่น
ๆ
ทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม
บริบททางการเมืองในประเทศไทยอาจมีความแตกต่างจากข้อสมมติข้างต้น
เพราะประชาชนในแต่ละภาคอาจมีความนิยมต่อพรรคการเมืองต่าง
ๆ
แตกต่างกัน
และประชาชนอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายในระดับท้องถิ่นมากนัก
ดังนั้นการเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียวจึงอาจไม่ได้ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลดีขึ้นมากนัก
ผมจึงเสนอว่า
ควรมีการปรับเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งให้มีความเหมาะสมกับบริบททางการเมืองของประเทศ
โดยทำการศึกษาเพิ่มเติมว่าประเทศไทยควรมีเป้าหมายของการพัฒนาประชาธิปไตยที่เน้นไปในทิศทางใด
บริบททางการเมืองของแต่ละท้องถิ่นในประเทศไทยเป็นอย่างไร
ปัญหาหรือข้อจำกัดของระบบการเลือกตั้งแต่ละแบบเป็นอย่างไร
เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกหรือพัฒนาระบบการเลือกตั้งที่เหมาะสมต่อไป
นอกจากนี้ยังควรส่งเสริมให้พรรคการเมืองหรือนักการเมืองเพิ่มทางเลือกของนโยบายแก่ประชาชนมากขึ้น
ทั้งในแง่ของจุดยืนของนโยบายในแต่ละประเด็น
โดยยังคงจำนวนพรรคการเมืองให้อยู่ในระดับต่ำ
ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับความพึงพอใจสูงขึ้นและมีความเท่าเทียมกันทางการเมืองมากขึ้น
เพราะสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น
โดยไม่ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลลดลง |